“เยื่อไม้” มิติใหม่ของเพลงสุนทราภรณ์
“เยื่อไม้”
มิติใหม่ของเพลงสุนทราภรณ์
เจตนา นาควัชระ
พวกเราเป็นจำนวนมากที่แห่แหนกันเข้าไปฟังและชมรายการ “บานเช้า-บานเย็น” ของวงดนตรี เยื่อไม้ ที่โรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2531 คงจะไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้จัก เยื่อไม้ มาก่อน ส่วนใหญ่คงจะเป็นผู้ที่มีใจสวามิภักดิ์ต่อนักร้องนักดนตรีกลุ่มนี้อยู่แล้ว จากการที่ได้ฟังเทปบันทึกเสียงที่วางขายอยู่ทั่วไป หรือได้ชมมิวสิควิดีโอมาก่อน กล่าวได้ว่าเรามุ่งที่จะได้รับการยืนยันบางอย่างมากกว่าที่หวังจะได้ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ที่เรายังไม่รู้จัก บางคนซึ่งเป็นคนช่างสงสัยและไม่ไว้วางใจธุรกิจบันเทิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็คงต้องการจะพิสูจน์ว่า เวลาบรรเลงจริงวง เยื่อไม้ จะทำได้ดีเท่ากับที่อัดลงแถบบันทึกเสียงไว้หรือไม่ เพราะเทคนิคการตัดต่อในยุคปัจจุบันพัฒนาไปได้ไกลมากเสียจนสามารถกลบข้อบกพร่องต่าง ๆ ไปได้
สำหรับผมเองนั้นเป็นโรคที่อาจเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Suntharapornmania” มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งจนกระทั่งปัจจุบันก็ยังรักษาไม่หาย เมื่อ เยื่อไม้ จัดรายการ “ต้อนรับกึ่งศตวรรษสุนทราภรณ์” ผมก็ต้องดั้นด้นไปถึงโรงละครแห่งชาติให้จงได้ ดังที่ผมได้เคยให้อรรถาธิบายไว้โดยพิสดารแล้วในบทความเรื่อง “มรดกสุนทราภรณ์” (หน้า 18) ผมเชื่อว่าเพลงสุนทราภรณ์จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่นำคีตนิพนธ์มา “ตีความใหม่” ผมจึงชื่นชมกับวง เยื่อไม้ ที่ได้สร้างคุณูปการต่อวงการดนตรีสากลของไทยด้วยการเสนอผลงานของสุนทราภรณ์ในรูปของการตีความใหม่ ที่บ่งบอกถึงความสามารถในทางคีตศิลป์และสติปัญญาที่ล้ำลึก โดยเฉพาะทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของครูเอื้อนั้น เขาได้บูชาครูด้วยวิธีที่ดีที่สุดแล้ว คือนำงานของครูมาตีความใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการคิดเลยครูออกไปโดยมิใช่คิดเป็นการนอกครูหรือล้างครู
การแสดงสดในวันที่ 2 ตุลาคม ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้ผมได้สังเกตเห็นข้อบกพร่องบางประการที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขได้
กล่าวโดยทั่วไป รายการ “บานเช้า-บานเย็น” จัดได้ดีมาก คงมีการตระเตรียมกันอย่างรอบคอบ และคงได้ใช้ความคิดกันมามากในการหากรอบมากำกับรายการ อันจะทำให้การแสดงครั้งนี้มีความหมายและมีเอกภาพ กรอบที่กล่าวถึงนี้ คือ กรอบแห่งเวลา คือตั้งแต่ยามเช้าไปถึง ยามเย็น การคัดสรรเพลงจึงเป็นไปอย่างมีระบบ
ญาณี ตราโมท ทำหน้าที่โฆษกได้อย่างพอเหมาะพอดี ใช้อารมณ์ขันอย่างไม่ขาดไม่เกิน ในช่วงที่อรุณโรจน์ เลี่ยมทอง เข้ามาร่วมสนทนาด้วย ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเป็นกันเองยิ่งขึ้น (แม้ว่าเราจะสังเกตได้ว่ามีสคริปต์วางอยู่บนโต๊ะ ก็มิได้ทำให้เสียรส) การสนทนาแต่ละช่วงเป็นการเข้าสู่เพลงที่จะบรรเลง มิใช่เป็นการคุยกันอย่างเรื่อยเจื้อยโดยไร้จุดหมายเหมือนอย่างรายการดนตรีบางรายการ แสงสีที่ใช้บนเวทีก็ไม่มากเกินไปจนเป็นการเบนความสนใจไปจากการฟังเพลง (ผมได้แต่เป็นห่วงว่า การเอานกพิราบมาปล่อยในโรงละครแห่งชาติ เป็นการยุติธรรมแล้วหรือกับนก และกับผู้ที่ต้องมีหน้าที่ทำความสะอาดโรงละคร) กล่าวโดยสรุป การจัดฉากและการกำกับเวทีเป็นไปอย่างมีรสนิยม เป็นการเสริมรสแห่งคีตศิลป์์
จุดเด่นของรายการนี้อยู่ที่วงดนตรีและนักร้องอย่างไม่ต้องสงสัย วง เยื่อไม้ เป็นวงดนตรีที่แตกต่างไปจากวงดนตรีต้นแบบของสุนทราภรณ์ อันเป็นวงประเภทบิ๊กแบนด์ การประสมวงของเยื่อไม้เป็นการประสมวงแบบหลวม ๆ เสียงของวงจึงมิได้เป็นเสียงแน่นแบบวงเครื่องเป่าของเดิม คงไม่จำเป็นต้องแจกแจงในที่นี้ว่า วงเยื่อไม้ประกอบด้วยเครื่องดนตรีอะไรบ้าง เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เท่าที่สังเกตได้ ผู้ที่ควบคุมวงที่แท้จริงจะเป็นผู้เล่นเปียโน และผู้เรียบเรียงเสียงประสาน คือ ทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์ ซึ่งไม่พยายามแสดงตัวให้โดดเด่นหรือเน้นว่าเครื่องดนตรีของตนเป็นตัวนำ ถ้าพูดภาษาดนตรีตะวันตก ก็คงจะทำหน้าที่ราวกับจะเป็นคีย์บอร์ดประเภทเล่นคลอวง (bass continuo) ในดนตรีสมัยบารอค นักดนตรีที่มีบทบาทนำ คือ นพ โสตถิพันธุ์ ผู้เล่นไวโอลิน ทำหน้าที่ราวกับเป็นหัวหน้าวง (leader) ของวงดนตรีแบบตะวันตกที่ไม่มีวาทยกร
คงไม่มีความจำเป็นจะต้องเน้นว่า นพเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในกระบวนการ “ตีความใหม่” ของวง เยื่อไม้ ที่ทำให้การบรรเลงของวงนี้แตกต่างไปจากวง สุนทราภรณ์ เสียงไวโอลินของนพเหมาะมากสำหรับการการบรรเลงด้วยวงดนตรีประเภทนี้ ลีลาการเล่นหลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้ตามอารมณ์ของเพลง หวานก็ได้ ห้วนก็ได้ ตลกก็ยังได้ บางตอนจะเล่นเป็น “ด้น” (improvisation) นักดนตรีบางคนอาจจะมีข้อกังขาอยู่บ้างกับการบรรเลงของนพในแง่ที่ว่า การด้นในบางครั้งดูจะเป็นการผละหนีจากแก่นของทำนองเพลงไปไกลมาก [คล้ายๆกับ คาเดนซา (cadenza) บางชิ้นนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจแก่นแท้ของตัวคอนแชร์โต้เอง เช่น cadenza ของชนิตเค (Schnitke) ที่แต่งขึ้นให้บรรเลงกับไวโอลินคอนแชร์โต้ของเบโธเฟน] อีกประการหนึ่ง การแสดงความเข้มข้นของอารมณ์ด้วยการ “รูด” หรือ “ลาก” ที่นพทำอยู่บ่อยครั้งนั้น ในบางครั้งอาจจะหวานเกินไปจนเสียรส
คงจะต้องขอจบรายการ “สอนหนังสือสังฆราช” แต่เพียงเท่านี้ก่อน และขอย้อนกลับมาพิจารณาการบรรเลงของวงเยื่อไม้ทั้งวง การปรับเสียงของวงตามลีลาของทำนองที่เปลี่ยนไปทำได้น่าประทับใจเช่นกัน จาก “แน่น” เป็น “เบา” จาก “ดัง” เป็น “ค่อย” จาก “หนา” เป็น “บาง ” ทำได้แนบเนียน เพลง ปาหนัน อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของความสามารถของ เยื่อไม้ ในด้านนี้
การบรรเลงสดในรายการ “บานเช้า-บานเย็น” พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่า วงดนตรีวงนี้มีความมั่นใจในตนเองมาก ผมคิดว่าบางเพลงบรรเลงได้มีชีวิตชีวากว่าที่อัดลงเทปไว้เสียด้วยซ้ำ เช่น พรจุมพิต และ มั่นใจไม่รัก เรื่องของความแตกต่างระหว่างการบรรเลงจริงกับการบรรเลงในห้องอัดเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในการวงดนตรีทราบกันดี นักดนตรีที่ดีมักจะสามารถส่งโทรจิตกับผู้ดู ผู้ชม ผู้ฟัง ไปในทางที่เสริมคุณค่าทางคีตศิลป์ของการแสดงไดของ ของการแสดงได้
เป็นที่น่าเสียดายว่า รายการนี้เป็นการบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ที่วงเยื่อไม้ได้นำมาบันทึกเสียงไว้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วงดนตรียามาฮาซาวนด์ (Yamaha Sound) ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมรายการ จึงมีโอกาสบรรเลงน้อยมาก มองไปบนเวทีแล้วดูราวกับว่าผู้จัดรายการไปเชิญวงยามาฮาซาวนด์มาฟังวง เยื่อไม้ แต่เท่าที่วงยามาฮาซาวนด์ได้มีโอกาสบรรเลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการประกอบลีลาศบนเวที ผมอดคิดเข้าข้างคนรุ่นใหม่ไม่ได้ว่า ความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีตะวันตกในบ้านเราได้ก้าวหน้าไปมาก ผมคงจะต้องยอมเอาคอมาขึ้นเขียง และให้ข้อคิดเห็นในเชิงประเมิน คุณค่าอย่างตรงไปตรงมาว่า วงดนตรียามาฮาซาวนด์บรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ได้ดีกว่าวงสุนทราภรณ์เอง ไม่ว่าในยุคใดที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาด้วยตัวเอง ผมได้แสดงความหวังเอาไว้ในบทความเรื่อง “มรดกของสุนทราภรณ์” ว่าสักวันหนึ่งการตีความใหม่ในลักษณะที่สร้างสรรค์น่าจะเกิดขึ้นได้ และมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วให้เราได้เห็นประจักษ์ ผมไม่คิดว่าที่ผมกล่าวมาเช่นนี้เป็นการยุยงให้คนรุ่นหลัง “ล้างครู”
ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มคลางแคลงใจแล้วว่า เหตุใดผมยังไม่วิจารณ์การขับร้องของ “ดารา” ทั้งสอง คือ อรวี สัจจานนท์ และวีระ บำรุงศรี ผมขอเรียนว่าจงใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะผมเชื่อว่าความสำเร็จของ เยื่อไม้ เป็นความสำเร็จในระดับหมู่คณะ และถ้าจะมีผู้ใดสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นดาราก็เห็นจะเป็นทั้งนักดนตรีและนักร้องที่ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่ง ถึงอย่างไรก็ตาม เราคงจะต้องแสดงความยินดีต่อ “ผู้ใหญ่” ในวงการที่ได้ “ค้นพบ” นักร้องทั้งสองและฝึกปรือให้เขาได้มามีส่วนในกระบวนการตีความใหม่ที่สำคัญยิ่งในครั้งนี้ นอกจากจะมีความสามารถในการร้องแล้ว อรวีและวีระยังพูดจาได้แคล่วคล่อง ทำหน้าที่เป็นโฆษกไปด้วยในตัวในบางครั้ง และกล้าที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง ต่อคำถามที่ว่าเหตุใดจึงชอบร้องเพลงสุนทราภรณ์ อรวีให้คำตอบที่เน้นความหลากหลายของคีตนิพนธ์ของสุนทราภรณ์ ซึ่งเธอเองก็ได้พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นแล้วว่า เธอร้องเพลงสุนทราภรณ์ได้ในหลายแบบ ทั้งที่เป็นเพลงที่บุษยา รังสี เคยร้อง หรือเพลงของรวงทอง ทองลั่นทม รวมไปจนถึงเพลงเร็วของศรีสุดา รัชตวรรณ แสดงว่าเธอรู้ดีว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
สำหรับวีระนั้น เขาให้คำตอบที่มีลักษณะท้าทายอยู่มากทีเดียว โดยเน้นว่าเพลงสุนทราภรณ์นั้นยาก ถ้าร้องเพลงของสุนทราภรณ์ได้ก็ร้องเพลงของคนอื่นได้ ผมอยากจะคิดเข้าข้างวีระว่าเขาเองก็คงจะสำนึกได้ว่า เขายังไต่บันไดขึ้นไปหาสุนทราภรณ์อยู่ และถ้าพิจารณาจากเทปทั้ง 4 ชุดที่ออกมาแล้ว ผมเชื่อว่าวีระร้องได้ดีที่สุดในชุดที่ 2 ซึ่งมิใช่เพลงสุนทราภรณ์ โดยเฉพาะเพลงที่ชรินทร์ นันทนาคร เคยร้องด้วยแล้ว วีระเข้าถึงวิญญาณของเพลงเหล่านี้ได้อย่างดียิ่ง เราอาจจะต้องยอมรับว่า ยังมีอุปสรรคบางอย่างที่ขวางกั้นมิให้วีระเข้าถึงแก่นของเพลงสุนทราภรณ์ได้ในทุกกรณีไป ดังจะได้อภิปรายตอนท้ายของบทวิจารณ์นี้
ประเด็นที่วีระกล่าวมาข้างต้นเป็นประเด็นที่น่าคิดมาก เพราะถ้าเพลงสุนทราภรณ์เป็นจุดสุดยอดของเพลงไทยสากล เราก็คงต้องตั้งคำถามว่า ถ้าเราจะสร้างแบบฝึกหัดที่เป็นขั้นเป็นตอนสำหรับนักร้อง ในรูปของแบบฝึกหัดทางดนตรีที่เรียกว่า progressive study เราจะเริ่มที่ใด จะผ่านเพลงประเภทใดจนกว่าจะมาถึงสุนทราภรณ์ ผมยังไม่มีเวลาที่จะอภิปรายประเด็นนี้โดยพิสดาร เพียงแต่จะขอตั้งประเด็นไว้ให้ผู้รักดนตรีมีการถกเถียงกันต่อไป แม้แต่ภายในกรอบของเพลงสุนทราภรณ์เองก็อาจจะมีระดับของความยากง่าย ซึ่งผู้รู้ในทางดนตรีน่าที่จะแนะนำนักร้องรุ่นเยาว์ทั้งสองได้ การที่สนับสนุนให้นักร้องหน้าใหม่กระโดดไปร้องเพลงเช่น ขอพบในฝัน เลยทีเดียว (ซึ่งวีระร้องอัดลงเทปไว้แล้ว แต่ไม่ได้ร้องสดในการบรรเลงเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม) อาจจะเป็นการกระโดด ข้ามขั้น ครูแก้ว อัจฉริยะกุล เคยให้สัมภาษณ์ (ร่วมกับครูเอื้อ สุนทรสนาน) ไว้ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ณ พระราชวังสนามจันทร์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2522 ว่ายังไม่มีใครร้องเพลงนี้ได้ถึงระดับที่ผู้แต่งคาดหวังไว้ แม้แต่ครูเอื้อเองก็ยังร้องได้ไม่ถูกใจ ผมคิดว่าในปี 2531 ก็ยังไม่มีใครแก้สภาวะที่ว่านี้ได้ ในกรณีของอรวีก็เช่นกัน เพลง ฝากรัก ที่เธอร้องบันทึกเทปชุดที่ 4 ไปแล้ว (แต่ไม่ได้นำมาร้องในวันที่ 2 ตุลาคม) จัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ยังไม่น่าพึงพอใจ เพราะเป็นเพลงที่ยากมาก แม้แต่เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ก็ยังตีความเพลงนี้ไม่ได้ถึงใจ ข้อสรุป ณ ที่นี้ก็คือว่า ผู้รู้ในทางดนตรีคงจะต้องทำงานหนักกว่านี้ในด้านของการวิเคราะห์องค์คีตนิพนธ์ทั้งหมดของสุนทราภรณ์
เมื่อได้ยกปัญหาของสุนทราภรณ์มาอภิปรายถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็คงจะต้องแสดงความชื่นชมต่อนักร้องทั้งสองไว้ว่า เขาทั้งสองร้องเพลงสุนทราภรณ์ด้วยวิธีการที่เป็นของตัวเอง มิใช่เป็นการลอกเลียนแบบแผนการร้องของนักร้องอาวุโสดังที่กระทำกันอยู่ในแวดวงของสุนทราภรณ์เอง อันเป็นเหตุให้ “ดาวรุ่ง” ทั้งหลายไม่มีโอกาสได้เป็นตัวของตัวเอง และก็ดับแสงไปทีละดวงในที่สุด เราจำเป็นจะต้องยกย่อง เยื่อไม้ ในแง่นี้ ที่สามารถแสดงให้เห็นว่า การตีความใหม่อย่างสร้างสรรค์นั้นเป็นอย่างไร
ผมยังอยากจะกล่าวเลยไปเสียด้วยซ้ำว่า อรวีร้องเพลงของบุษยาไม่เหมือนบุษยา และในบางเพลงมีชีวิตชีวากว่าบุษยาเองเสียด้วยซ้ำ เพราะเสียงของบุษยานั้นมีลักษณะกระเดียดไปในทางเสียงเครื่องดนตรี (instrumental quality) มากเกินไป อรวีร้องเพลงของรวงทองโดยมิได้ลอกแบบรวงทอง โดยเฉพาะ ปาหนัน กับ วิมานสีชมพู นั้น เธอร้องได้ดียิ่ง อาจจะเป็นการตีความเพลงทั้งสองโดยเสนอทางเลือก (alternative) ใหม่ให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งอาจจะอยู่ในระดับน้อง ๆ ของรวงทองเลยทีเดียว เสียงของอรวีมีเสน่ห์ (และผมใคร่ขอย้ำว่า เสน่ห์ในการร้องเพลงกับเสน่ห์ของบุคลิกภาพบนเวทีการแสดงเป็นคนละเรื่องกัน) การเอื้อนหรือลูกคอในบางตอนมีเสน่ห์เสียจนผู้ฟังอดลุ่มหลงไม่ได้ หรือที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งได้ว่า irresistible จะขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบสักสองตัวอย่าง
ตัวอย่างที่ 1 จากเพลง จำได้ไหม (ทำนอง เอื้อ : สุนทรสนาน คำร้อง : “ ธาตรี ”, ดูเนื้อเพลงหน้า 89) บรรทัดที่ 11 “ คุณชมกลิ่นแก้มว่าหอมละมุน ” ตัวอย่างที่ 2 จากเพลง ปาหนัน (ทำนอง เอื้อ : สุนทรสนาน คำร้อง : แก้ว อัจฉริยะกุล, ดูเนื้อเพลงหน้า 90) บรรทัดที่ 10 “โอ้น่าเวทนา เสียดายน้ำตาปาหนัน ” ก็หวังว่าเธอจะพัฒนาจุดเด่นเหล่านี้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ให้เป็นกลวิธีในการร้องที่เรียกใช้ได้ทุกเมื่อ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งรวงทองเคยทำได้ สำหรับอรวีเองนั้นก็ส่อแววให้เห็นแล้วว่า เธอสามารถรักษาระดับการร้องที่มีเอกภาพและมาตรฐานสม่ำเสมอได้ตลอดทั้งเพลง เช่นในกรณีของ มั่นใจไม่รัก เมื่อกล่าวถึง “ เพลงรวงทอง ” แล้ว ก็คงจะต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การจะตีความเพลงเหล่านี้ให้ถึงแก่นนั้น ผู้ร้องจะพอใจแต่เพียงการแสดงออกซึ่งลักษณะของ “ เด็กสาวผู้น่ารัก ” เท่านั้นคงจะไม่พอ แต่จะต้องพัฒนาบุคลิกภาพ (ในการร้อง) ให้ไปถึงขั้น “หญิงสาวผู้ชอกช้ำ” ซึ่งมิใช่เรื่องที่ผูกอยู่กับวัยวุฒิ เพราะรวงทองทำสิ่งนี้ได้เมื่อเธอเองอายุยังน้อยมาก ผมไม่ใช่นักวิจารณ์ที่ชอบเอาศิลปะกับชีวิตของศิลปินเข้ามาปะปนกัน และไม่เชื่อว่าศิลปินจะต้องชอกช้ำมาในชีวิตจริงเสียก่อนจึงจะสามารถแสดงออกซึ่งความชอกช้ำที่ว่ามานั้นได้ พัฒนาการในทางศิลปะมิใช่เรื่องของการพัฒนาเทคนิคและกลวิธีแต่ถ่ายเดียว แต่เป็นพัฒนาการของวุฒิภาวะในทางอารมณ์ด้วย อันเป็นสิ่งที่สร้างได้ ผมจึงหวังว่าอรวีจะไม่หยุดอยู่แค่ระดับของ “เด็กสาวผู้น่ารัก” เป็นแน่
กรณีของ วีระ บำรุงศรี นั้น ยากแก่การวิเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง เพราะน้ำเสียงของวีระดูจะยังปรับให้เข้ากับเพลงของสุนทราภรณ์ได้ไม่สนิทนัก ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การผูกติดกับลีลาการร้องในแบบของชรินทร์ นันทนาคร ดูจะเป็นทางที่เบี่ยงเบนไปจากแนวทางของเพลงสุนทราภรณ์ส่วนใหญ่ เสียงของวีระค่อนข้างจะบาง หางเสียงกระเดียดไปในทาง “ลูกทุ่ง” เสียด้วยซ้ำ แต่วีระเป็นศิลปินที่มีสติปัญญาสูง พยายามจะแสวงหาลีลาที่เหมาะสมกับเพลงแต่ละเพลง โดยทั่วไปวีระจะร้องเพลงที่เย็น ๆ ที่ไม่หวานจนเกินไป หรือเร่งเร้าจนเกินไปได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่เขาใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่จงใจหรือตั้งใจเน้นความหรือคำในตอนนั้นตอนนี้มากเกินไป เช่นในเพลง สาวอัมพวา และ รักเอาบุญ วีระยังมีปัญหาอยู่มากในการร้องเพลงเร็ว เพราะอาจยังมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับเพลงสุนทราภรณ์
ในการแสดงเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ทั้งโฆษกและทั้งนักร้องได้แสดงทัศนะบางประการที่ผมคิดว่าเป็นการชวนให้เขว นั่นก็คือการแบ่งประเภทเพลงสุนทราภรณ์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เพลงหวาน-ซึ้ง กับเพลงเร็ว-เร้าใจ ซึ่งอาจจะเป็นหลักการที่วีระพยายามจะเดินตาม เมื่อเวลาร้องเพลงเร็วที่จังหวะกระชับ วีระจึงกระแทกเสียงและรวบคำตามจังหวะของเพลง เช่นในเพลง พรจุมพิต ซึ่งแสดงให้เห็นปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน การออกเสียงคำตายในภาษาไทย เช่น “ชีวิต” นั้น ห้วนและกระแทกกระทั้นเกินไป ถ้าเราลองกลับไปฟังวินัย จุลบุษปะ ร้องเพลงสุนทราภรณ์จังหวะแทงโก้ดูบ้างก็จะสังเกตได้ว่า แม้ตัวเพลงจะมีจังหวะที่กระชับแน่นมาก แต่วินัยสามารถที่จะออกเสียงเอื้อนได้อย่างไพเราะอย่างยิ่ง เป็นการลบเส้นพรมแดนระหว่างเพลงสองประเภทที่มีผู้มาจัดระบบแยกออกจากกันดังที่กล่าวมาข้างต้น ที่กล่าวมานี้มิใช่เป็นการแนะนำให้วีระกลับไปลอกแบบการร้องของวินัย แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงหลักการบางอย่างที่ควรคำนึงถึงในการตีความเพลงสุนทราภรณ์ นั่นก็คือว่า แนวการร้องไม่จำเป็นจะต้องตามแนวการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเสมอไป นักร้องที่มีความสามารถจะรู้ว่าเมื่อใดจะเล่นลูกล้อลูกขัดกับวงดนตรี ถ้าจะอธิบายด้วยความเปรียบก็คงจะต้องกล่าวว่า นักร้องไม่จำเป็นต้องเดินตามนักดนตรี แต่ควรจะเดินเคียงกัน คือ เดินจูงมือกันไป และไม่จำเป็นจะต้องเดินแบบทหารที่ต้องปรบเท้าให้พร้อมกันอย่างตายตัว
นับเป็นโชคดีที่ผู้จัดได้เชิญนักร้องอาวุโสมาร่วมรายการด้วยในวันนั้นสองท่าน คือ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี และสมศักดิ์ เทพานนท์ จะขอกล่าวถึงการร้องของสมศักดิ์ก่อน เพราะเกี่ยวโยงไปถึงการขับร้องของวีระ ก่อนที่จะมาชมการแสดงในวันที่ 2 ตุลาคม ผมได้มีโอกาสฟังเทปเพลง เพราะที่รัก ซึ่งวีระร้องบันทึกเอาไว้ แล้วเกิดความอึดอัดเป็นอันมาก เพราะรู้สึกว่าห้วนจนเสียรส แต่ก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าจะหาทางออกอย่างไร พอได้ฟังสมศักดิ์ร้องเพลงนี้ในฐานะนักร้องรับเชิญในรายการ “บานเช้า – บานเย็น” แล้วจึง “ถึงบางอ้อ” แม้ว่าอายุจะล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว แต่สมศักดิ์ก็ยังแสดงให้เห็นว่าร้องอย่างไรจึงจะได้รส นั่นก็คือร้องตามหลักการที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ จับจังหวะกับทำนองให้ได้แม่นเสียก่อน แล้วหาแนวของเสียงร้องที่ไม่ต้องตามแนวของของดนตรีอย่างเคร่งครัดเกินไป ผมคิดว่าวีระคงจะปรับตัวได้ ถ้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักร้องอาวุโสให้มากกว่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบ ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่จำจะต้องนำมาอภิปราย ณ ที่นี้ คือ เรื่องของการแสดงอารมณ์ขันในเพลงสุนทราภรณ์ ซึ่งแสดงได้ด้วยการเปล่งเสียงที่เหมาะสม วีระมีปัญหาอีกเช่นกัน โดยเฉพาะในการเปล่งคำที่เป็นเสียงแต่ไม่มีความหมายเช่นในเพลง เริงลีลาศ ซึ่งมีเสียงประเภท “ เฮฮา ฮ้าไฮ้ ฮิฮิ” อยู่มาก ไม่ควรจะเน้นด้วยเสียงที่แหลมจนเกินไป ปัญหาที่ว่านี้เกิดขึ้นในเพลง นกเขาไพร เช่นกัน ในตอนที่ต้องทำเสียงล้อเลียนนกเขา ซึ่งอรวีทำได้กำลังพอดี ในขณะที่วีระตั้งใจเกินไป
สำหรับเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ดารารับเชิญอีกท่านหนึ่งนั้น คงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก เธอเป็นแบบอย่างที่ดียิ่งที่นักร้องรุ่นใหม่พึงให้ความเคารพ เพราะนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของวงการดนตรีสากลในเมืองไทยที่นักร้องผู้หนึ่งเจริญวุฒิภาวะทางศิลปะต่อเนื่องมาได้กว่าสามสิบปี ในการร้องครั้งนี้ แม้ว่าเสียงจะแกว่งบ้าง แต่ความสามารถในการตีความ ในการสอดใส่อารมณ์ ในการทอดเสียง โดยเฉพาะในการเปล่งคีตวลี (phrasing) นับได้ว่าเยี่ยมยอด ถ้าได้ศึกษาวิวัฒนาการในการร้องเพลงของเพ็ญศรีแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าพรสวรรค์อย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่การศึกษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันทั้งที่เป็นการศึกษาด้วยตนเอง และการศึกษาจากผู้รู้ ช่วงที่เพ็ญศรีอายุ 14 –15 ปี และถูก “เคี่ยว” โดยครูเวส สุนทรจามร นั้น เป็นช่วงที่สำคัญในชีวประวัติของเธอ ซึ่งนักร้องรุ่นใหม่น่าที่จะได้สำเหนียกเอาไว้ เพ็ญศรีร้องเพลง สิ้นรัก สิ้นสุข ด้วยความยากลำบากพอสมควร เพราะเธอขึ้นเสียงสูงได้ไม่สะดวกดายเหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว แต่วุฒิภาวะทางคีตศิลป์์ ยังเป็นสิ่งที่เราจะต้องก้มหัวให้ คำถามที่นักวิจารณ์อยากจะถามก็คือ เธอได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่นักร้องรุ่นลูกรุ่นหลานไว้บ้างหรือเปล่า มีเวลาจะให้ “การศึกษา” แก่ตนเองหรือไม่เพียงใด ภาพที่อรวีร้องเพลงคู่กับสมศักดิ์ และภาพที่วีระร้องเพลงคู่กับเพ็ญศรี เป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่ง ภาพที่หนุ่มสาวคู่นี้กล่าวมธุรสวาจาราวกับเป็นการฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้อาวุโสทั้งสอง และภาพที่ผู้อาวุโสให้ศีลให้พรแก่นักร้องรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นภาพที่สร้างความอบอุ่นใจแก่ผู้ดูและผู้ชมอย่างผมและเพื่อนๆ เป็นอันมาก มันเป็นจุดเด่นของวัฒนธรรมไทยที่เราพึงช่วยกันรักษาไว้ แต่คนช่างสงสัยอย่างผมก็อดที่จะตั้งคำถามต่อไปไม่ได้ว่า หลังจากวันที่ 2 ตุลาคม ไปแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ในด้านของการถ่ายวิชาจากผู้อาวุโสมาสู่ศิลปินรุ่นใหม่ หรือว่าภาพอันงามงดนั้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง
กล่าวโดยสรุป ผมอดห่วงนักร้องรุ่นใหม่ไม่ได้ เพราะโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และก็ ดับหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนใหญ่ไม่รู้จักถนอมตัว ไม่รู้จักแสวงหาความรู้ ไม่รู้จักหาทางหรือหาเวลาที่จะให้การศึกษาแก่ตนเอง นักร้องนักดนตรีบางคนมุ่งแต่จะ “หากิน” และหมดแรง หมดลม หมดไฟ ไปในระยะเวลาอันสั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการก็เป็นที่พึ่งไม่ได้เสมอไป เพราะบางคนก็หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมที่เป็นธุรกิจ สำหรับอรวีและวีระนั้น ผมคิดว่าเป็นนักร้องที่มีศักยภาพมหาศาล ถ้าได้ฝึกปรือศิลปะในการร้องเพลงของตนต่อไปอย่างเป็นระบบ ก็จะพัฒนาตนเองขึ้นมาให้เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ได้ ทำอย่างไรเราจะยืด “อายุการใช้งาน” ของนักร้องของเราให้ยาวกว่าที่เป็นอยู่ การจะแข่งกับเพ็ญศรีคงจะมิใช่สิ่งที่ง่าย แต่ก็น่าแข่ง พวกเราที่รักดนตรีการก็คงอยากจะเห็นนักร้องทั้งสองอยู่กับพวกเราได้อีกเป็นทศวรรษ และถ้าคิดจะพัฒนาตนเองต่อไปก็คงจะต้องหาเวลาไป “เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ” ดังที่เขาทำกันในวงการศึกษาระดับอุดม คงจะต้องศึกษาคีตนิพนธ์ของคีตกวีอื่น ไม่ควรจะผูกอยู่กับเฉพาะสุนทราภรณ์หรือเพลงรุ่นสุนทราภรณ์ ผมอยากจะขอวิงวอนให้ เยื่อไม้ หันมาสนใจดนตรีร่วมสมัยบ้าง อาจจะเลือกเฟ้นเพลงบางเพลงที่แต่งขึ้นในระยะหลังนี้มาเรียบเรียงเสียใหม่ ผมเชื่อในฝีมือของ เยื่อไม้ ว่าทำได้ นอกจากนั้นก็อาจจะเปิดโอกาสให้นักร้องอื่นเข้ามาร่วมวงด้วยบ้าง ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว นักร้องที่มีแววว่าจะพัฒนาไปได้ไกลยังมีอีกมาก แต่ไม่มีโอกาสได้ร่วมงานใกล้ชิดกับผู้มีภูมิรู้และมีฝีมือในทางดนตรีเช่นกลุ่ม เยื่อไม้ ทางข้างหน้ายังเป็นทางที่น่าจะเป็นทางแห่งความหวัง
ผมก็ได้แต่อ้อนวอนพระคีตเทวาธิราชให้ช่วย “พิทักษ์ปกป้องปวงภัย” แก่ศิลปินผู้มีคุณูปการอันมากหลายกลุ่มนี้ด้วยเถิด เพราะภัยพิบัตินั้นมาถึงได้ทุกเวลาในทุกรูปแบบในสังคมผู้บริโภคอันน่าสะพรึงกลัวของเรา นักวิจารณ์คงจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าช่วยให้กำลังใจ และช่วยเตือนสติกันบ้างในโอกาสอันสมควร
เราจำเป็นจะต้องขอบคุณ เยื่อไม้ ที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดแล้วว่า สุนทราภรณ์มิใช่สมบัติของ “ วงใน ” ของสุนทราภรณ์ แต่เป็นสมบัติของโลก
ที่มา: เจตนา นาควัชระ. “ ‘เยื่อไม้’ มิติใหม่ของสุนทราภรณ์”. เพราะรักจึงสมัครเข้ามาเล่น กรุงเทพฯ: อมรินทร์วิชาการ 2540.
บทวิเคราะห์
บทวิจารณ์นี้ผู้เขียนได้ชมการแสดงของวงเยื่อไม้ ซึ่งนำเพลงของสุนทราภรณ์มาบรรเลงและขับร้องใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีอะไรที่แตกต่างไปจากของเดิม และผู้เขียนได้แสดงความชื่นชมพร้อมทั้งข้อสังเกตในหลายด้านที่เกี่ยวกับการแสดงนี้ รวมถึงการเชื่อมโยงประสบการณ์ของผู้เขียนจากที่เคยฟังเพลงสุนทราภรณ์ในแบบดั้งเดิม มาเปรียบเทียบกับครั้งนี้ได้อย่างดี ซึ่งประเด็นต่าง ๆ ที่นำมาอภิปรายนั้น นับได้ว่าเป็นทั้งการวิเคราะห์แล้วจึงนำมาวิจารณ์ หาใช่การวิจารณ์โดยการใช้ความรู้สึกที่มีต่อการแสดงเพียงอย่างเดียว
สิ่งที่น่าสนใจในบทความนี้ เป็นการกล่าวถึง การพัฒนาของดนตรีที่ไม่ได้ยึดติดเพียงแค่ตัวเพลง แต่ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่า เยื่อไม้ ได้คิดต่อจากของเดิม โดยวิธีการของตัวเองและผลที่เกิดขึ้นนั้นก็มิได้ทำให้คุณค่าของตัวผลงานเดิมเสียไป แต่แสดงให้เห็นถึง การตีความใหม่ทั้งในด้านของดนตรีและการขับร้องที่ให้ความพอดีในสัดส่วนของวงดนตรีที่แตกต่างจากเดิม และลีลาการเรียบเรียงรวมทั้งการบรรเลงที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผู้เขียนแสดงความเห็นสนับสนุนการตีความใหม่ในลักษณะเช่นนี้ รวมถึงการชี้นำถึงแนวทางของการตีความและพัฒนาดนตรีไปให้กว้างขึ้น โดยนำเพลงสมัยนิยมอื่น ๆ มาบรรเลงลักษณะนี้ได้รับในตอนท้ายของบทความ และยังเชื่อมโยงกับลักษณะของการบรรเลง Cadenza และบทบาทของคีย์บอร์ดในดนตรีบารอค ซึ่งทำให้ประเด็นนี้มีความชัดเจนขึ้นมากว่า เยื่อไม้มีพัฒนาการทางดนตรีที่สูง และสามารถดึงเอาลักษณะสำคัญทางดนตรีหลายประการเข้ามารวมกันไว้ได้อย่างดี และชี้ให้เห็นถึงความแหลมคมในการเชื่อมโยงประสบการณ์ทางดนตรีที่หลากหลายให้เป็นเหตุผลสนับสนุนความเห็นของผู้เขียนให้เด่นชัดขึ้น
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความแตกต่างของวงดนตรีสุนทราภรณ์กับยามาฮาซาวนด์ ได้อย่างชัดเจนว่าคุณภาพทางดนตรีนั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการประเมินคุณค่าอย่างชัดเจนของผู้เขียน รวมทั้งการอภิปรายถึงรูปแบบของการจัดการแสดงในด้านต่างๆที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนอย่างยิ่งต่อการทำให้รายการดำเนินไปอย่างราบรื่น นอกเหนือจากการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับดนตรีและการขับร้อง
เนื่องจากผู้เขียนบทความนี้ได้ติดตามและศึกษาผลงานของสุนทราภรณ์มาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การแสดงความเห็นเกี่ยวกับผู้ขับร้องและการขับร้องในรายการแสดงของเยื่อไม้เป็นไปอย่างลุ่มลึก พร้อมทั้งการวิเคราะห์ความหมายของบทเพลงที่แสดงได้โดยละเอียด รวมทั้งบริบทด้านต่างๆอันเกี่ยวกับบุคคลก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ และทำให้งานวิจารณ์ชิ้นนี้ไม่พียงเป็นบทวิจารณ์ที่แสดงความชื่นชม หรือตั้งข้อสังเกตต่างๆ เพียงประการเดียว ยังเป็นบทวิจารณ์ที่ให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์บอกเล่ากับผู้อ่านด้วย และในส่วนที่แสดงความเห็นเกี่ยวกับผู้ขับร้องทั้ง 2 ท่านนั้นผู้วิจารณ์ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการร้องของ วีระ บำรุงศรี ที่มีทั้งการวิเคราะห์ลักษณะเด่นและปัญหาที่มีในการขับร้องเพลงสุนทราภรณ์ ซึ่งมีความแยบยลที่จะชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเลือกบทเพลงต่าง ๆ มาขับร้อง
หากพิจารณาเนื้อหาของการนำเสนอในด้านของการบรรเลงและขับร้องก็นับได้ว่าให้ข้อมูลด้านต่างๆที่นับว่าสมบูรณ์มาก แต่ในด้านบริบทต่างๆ ผู้เขียนได้แฝงเจตนาที่มีนัยบอกถึงวิถีทางแห่งความอยู่รอดและแนวทางในการพัฒนาทั้งผู้เล่นและผู้ฟังไปพร้อมๆ กันซึ่งคงจะเห็นได้ชัดในเรื่องที่ว่า การศึกษาทำความเข้าใจในองค์ประกอบและบริบททางดนตรีล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการจรรโลงคุณค่าให้แก่ดนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะเรียนรู้และถ่ายทอดซึ่งกันและกันแล้ว ปัญหาของการสูญหายและการหลงทิศทางในการพัฒนาก็ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
โดยสรุปแล้วจากบทวิจารณ์ชี้ให้เห็นได้ว่า ความสมบูรณ์และความมีคุณค่าในทางศิลปะจะต้องแสดงคุณค่านั้นให้ประจักษ์ในความเป็นสากลได้ ไม่จำกัดแค่เฉพาะเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และการดำรงคุณค่าไว้นั้นก็คือการคิดต่อ และทำใหม่ให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมา ซึ่งในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดเหล่านี้ด้วยวิธีการที่แยบยลที่มีตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจน
รังสิพันธุ์ แข็งขัน : ผู้วิเคราะห์
บทวิจารณ์(และบทวิเคราะห์)นี้”เป็น 1 ในจำนวน 50 บท หากสนใจอ่านเพิ่มเติมในสรรนิพนธ์ของสาขาสังคีตศิลป์