ครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต : เสาหลักแห่งวัฒนธรรมระนาดทุ้ม
เจตนา นาควัชระ
เป็นเวลาร่วม 40 ปีที่อาจารย์สุดจิตต์นั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปนครปฐมอาทิตย์ละครั้ง เพื่อสอนดนตรีไทย โดยเฉพาะการขับร้อง ให้แก่นักศึกษา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรามิใช่สถาบันผลิตศิลปิน แต่เป็นคนอักษรศาสตร์ที่มีความสนใจทางศิลปะ และมาตรฐานของเราก็คงยังไม่ถึงระดับของผู้ที่เล่าเรียนศิลปะเชิงปฏิบัติอย่างเต็มรูป แต่ผมไม่เคยได้ยินอาจารย์สุดจิตต์บ่นว่าแม้แต่ครั้งเดียวว่าเด็กอักษรศาสตร์ ศิลปากร ใช้ไม่ได้ พวกเราไม่เคยลืมน้ำใจของท่าน ศิลปินที่แท้จริง มิใช่แต่จะโดดเด่นในทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ย่อมใส่ใจในการถ่ายทอดวิชา เพราะท่านเป็นผู้มีวิชา
วันหนึ่งในฤดูร้อนตอนบ่ายๆ หลายปีมาแล้ว ผมเดินจากบางลำพูจะไปลงเรือด่วนที่ท่าพระอาทิตย์ ผ่านสวนสันติชัยปราการ มองเห็นอาจารย์สุดจิตต์แต่ไกล นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กำลังสอนระนาดให้แก่ศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งดูจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พอผมเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่า ศิลปินที่ข้ามแม่น้ำมาจากวัดระฆังฯ ผู้นั้นหาใช่ใครอื่นไม่ คือ คุณภัทราวดี มีชูธน นั่นเอง ครูสุดจิตต์เปิดสอนดนตรีไทยในบ่ายวันเสาร์ให้ฟรีกับผู้เรียนทุกคนที่สนใจ ภาพที่ผมเห็นประทับใจผมเป็นอย่างยิ่ง ในอดีตกาลเราคงจะถ่ายทอดวิชากันในลักษณะที่เรียกได้ว่า “เพราะรักจึงสมัครเข้ามาเล่น” หรือ “เพราะรักจึงสมัครเข้ามาเรียน”
อันที่จริง ผมได้รู้จักท่านอาจารย์สุดจิตต์มาตั้งแต่ครั้งที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม เพราะในตอนนั้นพ่อผม ซึ่งเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนมัธยมอยู่สามแห่งในกรุงเทพฯ และเข้ามารับราชการอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ในตอนหลังได้อาสาตั้งชมรมดนตรีไทยขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของคุรุสภา และได้ขอความช่วยเหลือจากครูดนตรีไทยสำนักต่างๆ ให้มาช่วยกันฟื้นฟูดนตรีไทยซึ่งถูกทอดทิ้งไปนาน แน่นอนที่สุดว่า สำนักดุริยประณีตเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ช่วยให้กิจดังกล่าวดำเนินไปได้ พ่อผมซึ่งมิใช่นักดนตรีอาชีพ เป็นแต่เพียงผู้รักสมัครเล่นเช่นเดียวกับผม ได้รับแรงบันดาลใจจากท่านผู้มีวิชาเหล่านี้ จนถึงกับขันอาสาแต่งเนื้อเพลงเข้าทำนอง “แขกสาหร่าย” จนเป็นที่รู้จักกันดี เริ่มต้นด้วยวรรคที่ว่า “อันเพลงไทยใช่จะไร้ในคุณค่า…”
ผมกับภรรยาไปงานสวดพระอภิธรรมอาจารย์สุดจิตต์ในคืนแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2555 และก็คิดเอาไว้แล้วว่า คงจะมีการแสดงเพื่อเป็นเกียรติแก่อาจารย์สุดจิตต์ผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้ วงดนตรีจากบ้านดุริยประณีตในขั้นแรกก็ทำหน้าที่บรรเลงเพลงอันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการ หลังจากที่มีการแสดงพระธรรมเทศนาและการสวดพระอภิธรรมแล้ว ก็มีการแสดงนาฏศิลป์ไทยเป็นช่วงสั้นๆ แต่วงดนตรีไม่ยอมขนเครื่องกลับ ถ้าเป็นวัดอื่นที่มีความเจนจัดเชิงธุรกิจก็คงจะเชิญให้วงดนตรีกลับบ้านไปแล้ว แต่บังเอิญวัดชนะสงครามเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมบางลำพู นักดนตรีจึงบรรเลงต่อไป ซึ่งการบรรเลงในช่วงหลังนี้ มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการแสดงออกซึ่งวิชาดนตรีชั้นสูง ซึ่งยืนยัน “ทฤษฎีระนาดทุ้ม” ที่ผมได้คิดขึ้นจากการสนทนากับเพื่อนร่วมงาน คือ ศาสตราจารย์อุดม อรุณรัตน์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่เขียนขึ้นเป็นทฤษฎีได้รับการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรม ณ วัดชนะสงครามในคืนวันนั้น นั่นก็คือว่า ครูผู้เจนจัดในวิชาดนตรีจะแสดงความเป็นผู้นำด้วยระนาดทุ้ม โดยปล่อยให้ศิษย์ฝีมือเอกแสดงความสามารถของตนด้วยการบรรเลงระนาดเอก นานๆ ครั้งจะได้มีโอกาสฟังระนาดทุ้มปล่อยฝีมือแบบสุดๆ ดังเช่นในครั้งนี้ ซึ่งทำให้ผมเกิดทั้งความอบอุ่นใจและทั้งความมั่นใจว่า สิ่งที่ผมเรียกว่า “วัฒนธรรมระนาดทุ้ม” นั้น มิใช่ผลผลิตจากจิตนาการของผม แต่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่ามีอยู่จริง ในโลกแห่งความเป็นจริง และแต่ดั้งเดิมมาก็เป็นวิถีชีวิตที่แทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมอันสูงส่งของเรา ซึ่งคนรุ่นใหม่กำลังจะสลัดทิ้งไปด้วยความไม่รู้ และด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ถ้ายังรักษา “วัฒนธรรมระนาดทุ้ม” เอาไว้ได้ เราคงจะไม่กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว (failed state) ดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมคิดถึงอาจารย์สุดจิตต์ในฐานะเสาหลักแห่งวัฒนธรรมระนาดทุ้ม และท่านก็คงจะได้ทิ้งมรดกทางดนตรีเอาไว้ ที่มีความหนักแน่น ทั้งในเชิงศิลปะและในเชิงภูมิปัญญา พอที่จะช่วยคืนชีวิตให้แก่รัฐที่ล้มเหลวผู้น่าสงสารของเรา
————————-
คิดถึงคุณครูค่ะ