เรื่องของ “ที่สุด” ที่พิสูจน์ได้ยาก
เรื่องของ “ที่สุด” ที่พิสูจน์ได้ยาก
นาย Robert B. Silvers บรรณาธิการนิตยสาร The New York Review of Books
รับรางวัล National Humanities Medal จากประธานาธิบดี Barack Obama
เจตนา นาควัชระ
หนังสือพิมพ์รายวันชั้นนำของเยอรมันจะมีส่วนที่เรียกตามภาษาฝรั่งเศสว่า “เฟยเยอะตง” (Feuilleton) ซึ่งเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ในหนังสือพิมพ์ FRANKFURTER ALLGEMEINE ZEITUNG ประจำวันที่ 8 มกราคม 2014 ได้ลงบทสัมภาษณ์ฉบับแปลเป็นภาษาเยอรมันของนายรอเบิร์ต ซิลเวอรส์ (Robert Silvers) บรรณาธิการนิตยสารอเมริกันที่มีชื่อว่า The New York Review of Books ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2014 ฝ่ายบรรณาธิการเยอรมันแนะนำบทสัมภาษณ์ไว้ด้วยความชื่นชมว่า “The New York Review of Books เป็นนิตยสารที่ดีที่สุดในโลก” ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้วตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความพินิจพิเคราะห์ (เพราะเป็นภาษาต่างประเทศ) แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่ามีหลักฐานอันใดที่จะยืนยันได้ว่า นี่คือนิตยสารที่ดีที่สุดของโลก
ผมอ่าน The New York Review of Books และ The London Review of Books เป็นครั้งคราวจึงไม่อาจลงความเห็นได้ว่าฉบับไหนเป็นที่สุด ฉบับที่อ่านประจำ คือ The Times Literary Supplement ซึ่งมีอายุเกิน 100 ปีแล้ว ฉบับนี้จงใจจะช่วยผู้อ่าน คือช่วยเล่าเนื้อหาหนังสือที่นำมาวิจารณ์เสียด้วย บางครั้งมัวแต่เล่าเรื่องจนลืมวิจารณ์! นั่นก็สุดๆ ไปอีกทางหนึ่ง
แต่ทำไปทำมา หนังสือพิมพ์ก็คือหนังสือพิมพ์ สื่อก็คือสื่อ ต้องสร้างความตื่นเต้นไว้ก่อน เพราะถ้าจะกล่าวอ้างว่าอะไรเป็นที่สุดของโลกก็คงจะต้องมีการพิสูจน์กัน และโลกปัจจุบันซึ่งเป็นโลกของโทรคมนาคมและสื่อสังคมก็ชอบที่จะทำด้วยการให้ลงคะแนน แต่ถ้าจะอธิบายอย่างเป็นวิชาการว่านิตยสารการวิจารณ์ฉบับนี้เป็นนิตยสารที่ดีที่สุดในโลกแล้วละก็ ก็คงจะต้องใช้ความพยายามอันมหาศาล เพราะจะต้องเปรียบเทียบกับนิตยสารอื่นๆ อีกมากมาย ลำพังนักหนังสือพิมพ์น่ะหรือจะทำได้ แม้แต่อภิมหาอมตะศาสตราจารย์ก็คงจะยกธงขาว นี่มันโลกของการจัดอันดับ การจัดบันไดดารา การทำ ranking มหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งบ้านเราก็พลอยเต้นตามไปกับเขาด้วย แต่เพื่อความเป็นธรรม ผมก็ยังคิดว่าสามารถสกัดประเด็นที่เป็นประโยชน์มาจากบทสัมภาษณ์นี้ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. กองบรรณาธิการของนิตยสารชั้นดีต้องทำงานหนัก ก่อนที่จะไปเชิญนักวิจารณ์ผู้ใดให้เขียนบทวิจารณ์มาลงพิมพ์ โดยจำเป็นต้องศึกษาผลงานของนักวิจารณ์ท่านนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน (เราคงไม่อาจยืนยันได้ว่า ที่เขาพูดเช่นนั้น เขาทำเช่นนั้นอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า)
2. บรรณาธิการที่ดีต้องมีโอกาสทำงานในฐานะบรรณาธิการต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สำหรับผู้ให้สัมภาษณ์คือ นายรอเบิร์ต ซิลเวอรส์ นั้น สามารถอ้างสถิติอันน่าประทับใจมาได้ว่า ในชีวิตการทำงานของเขา เขาได้อ่านต้นฉบับมาแล้วประมาณ 15,000 ฉบับ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963)
3. มีการให้การยืนยันแบบกำปั้นทุบดินว่า นิตยสารที่ดีต้องหานักวิจารณ์ที่ดีที่สุดมาร่วมงานกับเขาให้ได้ แต่ก็ไม่ได้อธิบายวิธีการว่า วิธีที่จะทำให้นักวิจารณ์เหล่านั้นให้ความเชื่อถือกับนิตยสารควรทำอย่างไร
4. ยุคก่อนกับยุคปัจจุบันต่างกัน The New York Review of Books เป็นแดนกลางที่รวบรวมพลังปัญญาจากหลายแหล่ง และจากหลายถิ่น โดยมิได้ผูกอยู่กับมหานครนิวยอร์กเท่านั้น แต่ปัจจุบัน นิตยสารต้องอิงมหาวิทยาลัย ผมอ่านมาถึงตอนนี้ก็หลงเชื่อว่า เขาคงจะหมายถึงการพึ่งมันสมองและความรู้ของคนมหาวิทยาลัย แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะผู้ให้สัมภาษณ์พูดถึงรายได้จากการโฆษณาที่มาจากสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยต่างๆ ในที่สุดพวกเขาก็หนีไม่พ้นโลกของทุน (ซึ่งไม่จำเป็นต้อง “สามานย์” เสมอไป)
5. ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ได้จากบทสัมภาษณ์นี้ก็คือ การที่นิตยสารเป็นเวทีให้นักคิดได้คิดไป เขียนไป สร้างประสบการณ์ให้กับตนเอง จนถึงขั้นที่ปัญญาความคิดตกผลึกได้ เช่นในกรณีของนักกฎหมายชื่อ โรนัลด์ ดวอร์คิน (Ronald Dworkin) ผู้ซึ่งเขียนบทวิจารณ์ลงในนิตยสารฉบับนี้ถึง 45 บท ในที่สุดก็ค้นพบทิศทางของตัวเอง ที่นับได้ว่าเป็นนิติปรัชญา นั่นก็คือว่า “กฎหมายต้องเคารพปุถุชนทุกผู้ทุกนาม” หลักการที่ว่านี้กลายเป็นแนวคิดนิติปรัชญาที่มีผู้ยอมรับในวงกว้าง อันที่จริง ศาสตราจารย์ดวอร์คินเป็นทั้งนักกฎหมายและนักปรัชญาที่เน้นความสำคัญของจริยธรรมว่าเป็นหลักการสูงสุดของกฎหมาย และผมก็กำลังคิดว่า นักกฎหมายของไทยซึ่งในขณะนี้ถูกวายร้ายกล่าวหาว่าเป็นกบฏก็คงจะต้องต่อสู้ด้วยหลักการเช่นนี้เช่นกัน
ผู้ให้สัมภาษณ์มิได้ระบุว่า นักวิจารณ์ที่ใช้เวทีของ The New York Review of Books เป็นพื้นที่สร้างวุฒิภาวะและบารมีทางวิชาการอย่างนี้สักกี่คน ถ้ามีจำนวนมากก็คงจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า นิตยสารที่ดีที่สุดในโลก
ถ้ามองย้อนกลับมาที่บ้านของเราบ้าง ก็คงจะต้องกล่าวว่าเวทีที่นักวิจารณ์จะสร้างวุฒิภาวะให้แก่ตนเองนั้นหายาก แต่ถ้าเป็นเรื่องของวรรณกรรมสร้างสรรค์ก็คงจะมีตัวอย่างที่เห็นได้เป็นรูปธรรม ผู้รักการอ่านที่เกิดทัน สตรีสาร คงจะช่วยยืนยันได้ว่า นั่นคือ เวทีที่นักเขียนชั้นนำของไทย ซึ่งมีทั้งหญิงและชาย ได้มีโอกาสเพาะตัว และเมื่อนิตยสารฉบับนั้นปิดกิจการไปแล้ว ท่านเหล่านี้ก็ยังสร้างความโดดเด่นได้อย่างต่อเนื่อง นักเขียนเหล่านี้ยอมรับนับถือบทบาทของคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง ในฐานะบรรณาธิการที่ใช้ตะกร้าทิ้งกระดาษเปลืองมาก เพราะท่านไม่ยอมรับงานที่ไร้คุณภาพ วงการของเราอาจจะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญมากนักกับบรรณาธิการในฐานะผู้นำทางปัญญา
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ จากการที่ได้ไปอ่านหนังสือพิมพ์รายวันภาษาเยอรมันมา คงจะเห็นได้ว่า เขาพยายามที่จะให้เนื้อหาสาระที่เป็นแก่นสารชวนคิด แต่ก็คงอดติติงสักเล็กน้อยไว้ไม่ได้ว่า ฝ่ายบรรณาธิการของเยอรมันเองไม่สามารถที่จะวิเคราะห์เนื้อหาออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นแก่นของบทสัมภาษณ์นั้นได้ ทำได้แต่เพียงพาดหัวให้น่าตื่นเต้น และคำถามที่ป้อนให้แก่ผู้มีบารมีชาวอเมริกันนั้น ก็มิได้ชวนให้ท่านได้ให้คำตอบที่มีความลึกซึ้งอันใด น่าเสียดายโอกาสอย่างยิ่ง
อันที่จริงการสัมภาษณ์จะดีหรือเลวมิได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่มาจากผู้ให้สัมภาษณ์เท่านั้น คำถามที่ผู้สัมภาษณ์ตั้งก็มีความสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่จำเป็นเสมอไปว่า วงการตะวันตกจะเป็นตัวอย่างให้แก่เราได้
8 ม.ค. 2557