โลกของหลักการ ไม่ใช่โลกของเนื้อหา
รายงานจากเบอร์ลิน
โลกของหลักการ ไม่ใช่โลกของเนื้อหา
ผมได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเบอร์ลินเสรี (Free University Berlin) ให้มาทำวิจัยระยะสั้น (ตามความต้องการของผมเอง ซึ่งจากบ้านมาเป็นช่วงเวลานานๆ ไม่ได้) ศูนย์วิจัยเรียกตัวเองว่า International Research Centre “Interweaving Performance Cultures” ผู้วิจัยสามารถเลือกหัวข้อของตนเองได้ ขอให้เกี่ยวกับศิลปะการแสดงก็แล้วกัน กิจกรรมภาคบังคับคือการบรรยาย 1 ครั้ง (สำหรับผม ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นปาฐกถาสำหรับบุคคลทั่วไปเป็นภาษาเยอรมัน แต่ครั้งต่อๆ มาเป็นการบรรยายภายในเป็นภาษาอังกฤษให้นักวิจัยด้วยกันเองฟัง ซึ่งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2014 ก็เป็นเช่นนั้น)
คราวนี้ผมเสนอหัวข้อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Usurpation by the Secondary: A Dramaturgical Shift” (อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เมื่อมือรองบ่อนก่อกบฏ: ความผกผันของนาฏกรรม”) เป็นการนำ “ทฤษฎีระนาดทุ้ม” มาขยายต่อ โดยอ้างทั้งตัวอย่างไทยและตะวันตก สำหรับตัวอย่างตะวันตกนั้น ผมจงใจเลือกใช้ตัวอย่างจากละครที่ผมได้ชมในกรุงเบอร์ลินนี่เอง โดยบางเรื่องย้อนหลังไปบ้างสัก 2-3 ปี ผมเหมาเอาว่า ถ้าอ้างละครคลาสสิกของตะวันตกแล้ว ทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะได้ถกแถลงกันได้โดยสะดวก เพราะพูดถึงตัวบทที่รู้จักกันอยู่แล้ว จะได้มีเวลาพูดถึงการแสดงและการตีความที่เป็นรูปธรรม ตัวอย่างที่ผมเสนอก็มีการแสดงละครคลาสสิกของฝรั่งเศสเรื่อง แฟดร์ (Phèdre) ของราซีน (Racine) ฉบับแปลภาษาเยอรมัน และละครเรื่อง ดอน คาร์ลอส (Don Carlos) ของ ชิลเลอร์ (Schiller) ซึ่งละครเป็นคลาสสิกเยอรมันเอง ปรากฏว่านักวิจัยที่มาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตะวันออก ไม่รู้จักงานคลาสสิกเหล่านี้ ที่น่าประหลาดก็คือนักวิชาการเยอรมันบางคนก็ไม่รู้จักงานคลาสสิกเหล่านี้เช่นกัน
การอภิปรายจึงเป็นเรื่องของหลักการ พวกเขาแหลมคมมากในเรื่องของการที่ชี้ให้เห็นว่า มโนทัศน์เรื่อง “มือรองบ่อน” ของผมยังไม่ชัดเจนในลักษณะใดบ้าง ซึ่งผมยอมรับว่าผมได้รับประโยชน์จากข้อสังเกตและข้อวิจารณ์เหล่านั้น แต่การสนทนาวิชาการครั้งนี้ก็ไปไม่ถึงแก่นอยู่ดี เพราะในเมื่อนักวิจัยส่วนใหญ่ไม่รู้จักตัวงาน ไม่เคยชมการแสดงจริง เราก็เลยต้องถกเถียงกันในเรื่องของหลักการ และเจาะลงไปไม่ถึงเนื้อหา ที่ผมสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาอ่านหนังสือทฤษฎีชุดเดียวกันมา แม้เขาจะเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อเจ้าตำรับ พอผมพูดถึงอำนาจ (power) และลำดับชั้นของบุคคล (hierarchy) ในกรอบของศิลปะการแสดง เท่านั้นแหละ ไฟแลบกันขึ้นมาทันที
สรุปได้ว่าไม่ว่าแต่ละคนจะปราดเปรื่องเพียงใดก็ตาม เราเรียนมาไม่เหมือนกัน ผมอาจจะต้องยอมรับว่า เติบโตมากับวิชาการประเภทที่เน้นเนื้อหา เน้นตัวงาน จะพูดในเชิงสรุปรวมทั่วไปหรือในเชิงทฤษฎีก็เป็นผลมาจากการครุ่นคิดพิจารณาจากฐานของเนื้อหา กลุ่มนักวิชาการนานาชาติกลุ่มนี้ยังดีที่พยายามจะโยงเข้ามาหาสิ่งที่ผมเสนอให้ได้ แม้จะเป็นในแง่ของหลักการ โดยที่ไม่มาท่องบ่นทฤษฎีของคนนั้นคนนี้ตามแบบกลุ่ม “วานรชำราบ” ที่ผมได้พบมาในบ้านเรา
ฝ่ายเจ้าภาพเคยนัดกันไปดูละครร่วมกัน ดูเรื่องเดียวกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ นักวิจัยบางคนไม่รู้ภาษาเยอรมันก็เลยต่อไม่ติด การจะทำกิจกรรมทางวิชาการที่เป็น “นานาชาติ” โดยไม่โยงเข้าหาวัฒนธรรมและภาษาของเจ้าของบ้านนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมดีใจ ผมอธิบายเรื่อง “ระนาดทุ้ม” ให้เขาฟัง พร้อมฉายแถบบันทึกภาพการแสดงวงปี่พาทย์ที่ระนาดทุ้มเล่นบท “รองบ่อน” กลับกลายเป็นบทของผู้มีวิชาที่แท้จริงไปนั้น พรรคพวกเขาพอเข้าใจได้ แต่ก็ยังต่อไม่ติด และคิดต่อไม่ได้ ทวิวัจน์ข้ามชาติช่างเป็นสิ่งที่ยากยิ่งเสียจริง แม้จะมีศรัทธาร่วมกันเป็นตัวตั้งก็ตาม
งานวิจัยของโครงการการวิจารณ์ที่ สกว. ช่วยสนับสนุนต่อเนื่องมาถึง 16 ปีแล้วก็ประสบปัญหาเดียวกัน ความสนใจในเรื่องงานต้นแบบถดถอยลงไปมาก เมื่อปะทะกับงานศิลปะตัวจริง พวกเราก็วิจารณ์ไปรอบๆ ตัวงาน โดยมักจะวิจารณ์บริบท ไม่เจาะลงไปให้ถึงแก่นของเนื้อหา ปัญหานี้แก้ไม่ง่ายเลย คงจะต้องกลับไปที่ห้องเรียน แล้วเริ่มต้นใหม่ที่นั่น
เจตนา นาควัชระ
เบอร์ลิน 16 ก.ย. 2014