การบริหารความเสี่ยง : วงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การบริหารความเสี่ยง : วงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(faceboo Nok Nora-Ath)
เจตนา นาควัชระ
“วงนักเรียน” ที่เล่นได้ขนาดนี้ และกล้าบรรเลงดุริยางคนิพนธ์เหล่านี้ สมควรได้รับการยกย่อง รายการแสดงดนตรีที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อคืนวันที่ 16 มีนาคม 2559 แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดว่า ครูบาอาจารย์และนิสิตของจุฬาฯ กล้าเสี่ยงในการเสนอรายการที่ไม่ซ้ำแบบใคร และก็ “บริหารความเสี่ยง” ได้ดีมาก ผมขออนุญาตไม่เขียนวิจารณ์เรียงตามลำดับก่อนหลังของการแสดง แต่จะเริ่มด้วยผลงานชิ้นที่ 2 คือ Trombone Concerto ของ Launy Grøndahl (1886-1960) คีตกวีชาวเดนมาร์ก ผู้แสดงเดี่ยวเป็นผู้ชนะการแข่งขันเพื่อคัดเลือกผู้ที่จะได้ออกแสดงกับวงซิมโฟนีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในปีนี้ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้เล่นทรอมโบน คือ กิตติภัค ระตินัย แม้ว่าผมจะไม่เคยฟังดุริยางคนิพนธ์ชิ้นนี้มาก่อน แม้แต่ในประเทศตะวันตก แต่การเล่นของกิตติภัคทำให้ผมแน่ใจได้ว่าคีตกวีใช้ศักยภาพของเครื่องดนตรีได้อย่างเต็มที่ กิตติภัคเล่นคอนแชร์โตบทนี้ด้วยความมั่นใจ โดยไม่จำเป็นต้องดูโน้ต เสียงแตรของเขาหลากหลาย เขาเล่นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะค่อยหรือดัง และโดยเฉพาะโน้ตต่ำที่สุดนั้น ทำให้ผมต้องอ้างปากค้างไปเลย ต้องขอชมเชยกรรมการที่ตัดสินตามคุณภาพของการแสดง โดยไม่พะวงว่าจะเป็นเครื่องดนตรีชนิดใด (ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กรรมการชาวเยอรมันทั้งหมดก็ตัดสินให้รางวัลเบโธเฟนสำหรับประเทศไทยแก่ผู้เล่นดับเบิ้ลเบส ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่แหวกแนวออกไปจากธรรมดา) แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเล่นทรอมโบนจะมีอาชีพเป็นนักแสดงเดี่ยวอยู่ตลอดเวลาคงจะยาก และก็คงจะต้องกลืนตัวเข้าไปในวงดนตรี แต่ก็น่าจะได้มีการให้โอกาสแก่นักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีอันหลากหลายออกไปได้มีโอกาสเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
คอนเสิร์ตเริ่มต้นด้วยดุริยางคนิพนธ์ที่รู้จักกันดี คือ The Hebrides Overture, op. 26 ของ Felix Mendelssohn-Bartholdy (1809-1847) (โปรแกรมภาษาไทยออกเสียงผิดว่า “ฮีบรายดส์”
ที่ถูกควรอ่านว่า “เฮบริดีส”) วาทยกรคือ อาจารย์นรอรรถ จันทร์กล่ำ จงใจจะเน้นความมีชีวิตชีวาในการใช้ดนตรีวาดภาพธรรมชาติในรูปของโปรแกรมมิวสิค แต่ผมคิดว่าวงดนตรีเครื่องยังไม่ร้อน จึงไม่อาจสนองความต้องการของวาทยกรได้อย่างเต็มที่ ยกเว้นผู้เล่นคลาริเน็ตซึ่งโดดเด่นมาก เพลงนี้เป็นคอนเสิร์ต โอเวอร์เจอร์ (concert overture) ไม่ใช่เพลงโหมโรงที่นำเข้าเรื่องอุปรากร จึงมีสไตล์เฉพาะที่เราอาจจะไม่คุ้นชินนัก
รายการครึ่งหลังที่บรรเลง The Enigma Variations ของ Sir Edward Elgar (1857-1934) เป็นโปรแกรมมิวสิคอีกประเภทหนึ่ง คือ เป็นการใช้ดนตรีสะท้อนบุคลิกภาพของบุคคล ซึ่งในที่นี้คือเพื่อนและผู้ร่วมงานของเอลการ์เองรวมด้วยกัน 14 คน ซึ่งผู้ประพันธ์ตั้งโจทย์ที่ยากยิ่งให้กับตัวเอง เพราะจะต้องกำหนดอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลออกมาเป็นดนตรีให้ได้ อาจารย์นรอรรถบริหารความเสี่ยงได้อย่างดีมาก เราฟังได้อย่างชัดเจนว่า variation แต่ละบทมีลักษณะเฉพาะของตัว แต่ความสำเร็จในการบรรเลงอาจจะไม่เท่ากันในทุกตอน เพราะนี่คือวงนักเรียน ซึ่งอาจจะต้องการการซ้อมอย่างจริงจังเป็นสิบๆ ครั้ง ผมสังเกตได้ว่า ส่วนที่เป็นท่อนช้าจะบรรเลงได้อย่างสมบูรณ์และไพเราะ โดยเฉพาะเครื่องสายในการแสดงครั้งนี้แน่นจริงๆ (ไม่เป็นการเสียหายอะไรที่จะชวนเพื่อฝูงจากสถาบันอื่นมาเล่นร่วมกับวงเป็นบางคน) วาทยกรใช้ phrasing ได้อย่างงดงาม ชวนให้คิดกลับไปถึงเสียงไวโอลินของหนุ่มน้อยชื่อนรอรรถ จันทร์กล่ำ เมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้ว อันเป็นเสียงที่กลม หวาน และซึ้ง เมื่อเขาเล่น Violin Concerto ของ Mendelssohn บนเวทีเดียวกันนี้ ผมมีอคติอยู่แล้วว่าวาทยกรที่เติบโตมาจากนักดนตรีจะกำกับวงได้ดีกว่าผู้ที่เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นหรือไม่เก่ง การที่อาจารย์นรอรรถหันมาเอาดีทางการเรียบเรียงเสียงประสาน การร้องเพลง และการเป็นวาทยกรนั้น เป็นการช่วยให้เราได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าอีกทางหนึ่ง แต่ผมก็เสียดายที่เขาเอาไวโอลินเก็บเข้ากล่องไปเสียแล้ว
ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็คงไม่มีวันจะพูดว่า เราได้วาทยกรระดับแนวหน้ามาคนหนึ่ง แต่เสียนักไวโอลินระดับแนวหน้าไปคนหนึ่งเช่นกัน ผมได้เขียนถึง Daniel Barenboim (1942-) มาแล้วหลายครั้งว่า วงการดนตรีคลาสสิกเสียนักดนตรีแนวหน้าของโลกไปหนึ่งคน และได้วาทยกรระดับพื้นๆ คน หนึ่งมาแทน ซึ่งเจ้าตัวเองและบริษัทจัดการดนตรีและโฆษณาช่วยกันโหมสร้างภาพว่า เขาอยู่ในระดับเดียวกับวาทยกรและนักเปียโนผู้ยิ่งใหญ่คือ Hans von Bülow ซึ่งเก่งทั้งสองอย่าง ผมเขียนทิ้งไว้เท่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจจะให้คำแนะนำใดๆ
คืนวันที่ 16 มีนาคม ผมเดินจากสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงไปจนถึงหอประชุมจุฬาฯ และก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่า จุฬาฯ ตอนค่ำ ซึ่งเมื่อเดิมเป็นที่ร้างนั้น ปัจจุบันมีชีวิตชีวาขึ้นมาในยามรัตติกาล ที่ใต้ถุนตึกเศรษฐศาสตร์มีวงร็อคกำลังเล่นเพลงของคาราบาวในขณะที่ผมเดินผ่านมา นี่คือชีวิตมหาวิทยาลัย (campus life) เมื่อผมมาถึงหอประชุม ได้รับบัตรเข้าชมแล้ว ก็มีนิสิตสาวน้อยคนหนึ่งนำผมไปนั่งในกลุ่มผู้รับเชิญ เธอพูดภาษาอังกฤษอย่างแคล่วคล่องกับผมตลอดเวลาด้วยสำเนียงอเมริกันขนานแท้ และผมก็เลยเล่นละครตอบไปว่าผมเป็นชาวต่างชาติด้วยการพูดกับเธอเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน เราเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเต็มตัวแล้ว และเมื่อเขาบอกเราว่าภาษากลางคือภาษาอังกฤษ เราก็ทำได้!
หอประชุมจุฬาฯ ได้รับการปรับปรุงใหม่ ลักษณะทางอุโฆษวิทยาโดยทั่วไปดีขึ้น แต่ผนังด้านหลังเวทีสะท้อนเสียงมากเกินไป ทำให้ได้ยินเสียงกลองดังเกินไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือ ผู้คนมาฟังดนตรีคลาสสิกในคืนนี้แน่นหอประชุม
จุฬาฯ กำลังฟื้นแล้ว ยักษ์กำมะลอทั้งหลายจงระวังเอาไว้ให้ดี อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาทอีกต่อไป