มังกรสลัดเกล็ด (ฉบับพิเศษ) : กระบวนการลดรูปจาก “ละครอ้วน” มาเป็น “ละครผอม”
มังกรสลัดเกล็ด (ฉบับพิเศษ) : กระบวนการลดรูปจาก “ละครอ้วน” มาเป็น “ละครผอม”
เจตนา นาควัชระ
ผมรีบเขียนบทวิจารณ์นี้โดยไม่มีโอกาสได้ใคร่ครวญไตร่ตรอง เพราะต้องการจะส่งสารจากใจไปยังคณะละครอนัตตา และกลุ่มผู้ชม ทั้งผู้ที่ได้ชมแล้วและที่ควรจะมาชม จึงเป็นการเลี่ยงไม่ได้เลยที่อาจจะมีการจับประเด็นที่ผิดพลาดไปบ้าง ขอให้ถือว่าความจริงใจสำคัญกว่าความเฉียบแหลมทางปัญญาและความจัดเจนในการรับงานศิลปะ
เมื่อละครเพลง มังกรสลัดเกล็ด ออกแสดงครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2558 ผมได้เขียนวิจารณ์ไว้ว่า การแสดงครั้งนั้นประสบความสำเร็จมาก และอาจถือได้ว่าเป็น “หัวเลี้ยวของละครไทยร่วมสมัย” คือเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ที่จะคิดทำละครมิวสิคัลของไทยต่อไปได้ว่า ละครแห่งความคิดกับละครแห่งความบันเทิงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเสมอไป นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดในเมื่อผู้เขียนบทและผู้กำกับการแสดงคือ ประดิษฐ ปราสาททอง “ฝืนใจ”ทำ “ละครอ้วน” ในครั้งนั้น โดยที่เจ้าตัวคิดว่าเขาขาดความถนัด แต่มันกลับกลายเป็นตัวอย่างของทิศทางใหม่ของมิวสิคัลแบบไทยขึ้นมาได้ มาครั้งนี้ ประดิษฐอยากจะกลับไปสู่สิ่งแวดล้อมทางศิลปะที่เขารักและคุ้นชิน ในรูปของ “ละครผอม” ในหัวข้อเดิม ผมสังเกตได้ว่าในการแสดงรอบแรกเมื่อคืนวันที่ 18 สิงหาคม 2559 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครนั้น เขาอาจจะออกแรงมากไปสักหน่อยในการ “ลดรูป”ละครที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นอย่างดีเมื่อปีที่แล้ว
สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือตัดบทละครให้สั้นลง ซึ่งมิวสิคัลฉบับที่หนึ่งใช้เวลามาก โดยเฉพาะในองก์แรกที่ว่าด้วยวัยเด็กของป๋วย ซึ่งในครั้งนี้ถูกตัดออกไปเกือบหมด ผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้สารของเรื่องขาดความชัดเจนไปในบางตอน อาทิ บทสนทนาข้ามภพระหว่างป๋วยตอนแก่กับมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วขาดน้ำหนักไปไม่น้อยเลย ในเมื่อเราไม่ได้สัมผัสภูมิหลังของการอบรมเลี้ยงลูกแบบโบราณ (ที่ป๋วยเองก็รับสืบทอดมา แล้วพยายามจะสอนลูกด้วยไม้เรียว!) อีกตอนหนึ่งที่ขาดความชัดเจนก็คือ ตอนที่หญิงชาวบ้านที่ชัยนาทเข้ามาหาป๋วยที่โดดร่มลงมาผิดที่ แล้วบอกว่า เขาหน้าเหมือนลูกชายของเธอ ในฉบับแรก ฉากนี้ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่งในรูปของการคิดย้อนหลังซึ่งช่วยให้เกิดความหนักแน่นในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก และสามารถตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างป๋วยกับมารดาได้อย่างดียิ่ง ที่กล่าวมานี้มิได้ต้องการจะประเมินว่า มังกรสลัดเกล็ด ฉบับแรกมีคุณค่าเหนือกว่าฉบับ “ละครผอม” แต่ผมต้องการจะชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนวิธีในกระบวนการสร้างสรรค์ทางศิลปะนั้นเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดปัญหาอย่างเลี่ยงได้ยาก
ปัญหาที่ผมสังเกตได้จากการแสดงในคืนวันที่ 18 สิงหาคม ก็คือ ข้อขัดแย้งในเนื้อในของละครเพลงฉบับใหม่ นั่นก็คือ สิ่งที่ผู้เขียนบทและผู้กำกับการแสดงระบุไว้ว่า เป็นเรื่องราวของ “ชายธรรมดาสามัญที่สร้างคุณูปการไว้กับประเทศ ไม่ใช่รัฐบุรุษหรือปราชญ์เมธีที่หาข้อบกพร่องมิได้” หมายความว่า ทิศทางหลักของละครย่อมต้องเป็นไปในทางนี้ และฉากที่โดดเด่นก็ยึดแนวทางที่ว่านี้เป็นตัวกำกับ ฉากที่ซาบซึ้งกินใจที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องเรียกน้ำตาก็คือ ตอนที่ป๋วยเป่าขลุ่ยไปพร้อมกับสนทนากับมากาเร็ต มีอีกหลายฉากที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นความเป็นคนธรรมดาสามัญของป๋วย ไม่ว่าเขาจะมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางอันเป็นอุดมคติอย่างไร ฉากก่อนสุดท้ายที่ป๋วยนั่งรถเข็นแล้วสนทนากับแม่ของตัวนั้น ผมต้องยอมรับว่าผู้เขียนบทสร้างวรรณกรรมละครที่ประทับใจผมอย่างสุดๆ และฉากนั้นจบลงเมื่อมากาเร็ตเข็นรถให้ป๋วยนั่งไปจนสุดพื้นที่การแสดง แล้วไฟเวทีก็มืดลง ผมเตรียมจะปรบมือให้กึกก้องไปเลยกับการจบการแสดงแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ โดยฉับพลัน นักแสดงทั้งคณะ (full company) ก็กลับขึ้นมาสู่เวทีแล้วร้องเพลงหลักร่วมกันในรูปของการจบเรื่องที่ยิ่งใหญ่ (grand finale) เป็นการชวนให้เราคล้อยตามไปว่าป๋วยได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่ชาติ อารมณ์ร่วมเชิงลึกของผมจึงถูกกระชากกลับมาด้วยการปลุกใจ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการจบแบบนี้ในการแสดงครั้งนี้เป็น anticlimax ผู้เขียนบท ผู้กำกับการแสดง และผู้ประพันธ์ดนตรีคงจะต้องกล้าตัดสินใจให้แน่ลงไปว่า เมื่อจะเป็น “ละครผอม” แล้ว ก็จะต้องสร้างความประทับใจในเชิงลึก มากกว่าการใช้กลเม็ดทางศิลปะการละครที่โอ่อ่า ซึ่งดูจะเหมาะกับ “ละครอ้วน”แบบมิวสิคัล แต่ไม่เข้ากับทิศทางหลักของมังกรสลัดเกล็ดฉบับนี้
การใช้พื้นที่การแสดงของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครในการแสดงครั้งนี้เป็นการจงใจไม่ตามแบบละครเวทีที่มีเวทียกสูงขึ้นและมีกรอบเวทีซึ่งมีม่านปิดเปิด (proscenium) แต่ผู้ดูผู้ชมนั่งขนาบอยู่สองด้านของอัฒจันทร์ จึงไม่ใช่ละครวงกลม (theatre in the round) ที่มีขนบการแสดงที่พัฒนากันมานานมากแล้ว แต่การที่ใช้พื้นที่แนวราบในการแสดงโดยวางตัวผู้แสดงไว้ค่อนข้างจะใกล้กับผู้ชม ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ผมได้เคยวิจารณ์ข้อจำกัดไปแล้วในบทวิจารณ์ “‘Othello’ at Democrazy Theatre: or the Pitfall of Realism” (เผยแพร่ใน www.thaicritic. com และพิมพ์รวมเล่มใน Chetana Nagavajara, Bridging Cultural Divides, 2014, 582-584) ประเด็นสำคัญก็คือ บนพื้นที่ลักษณะนี้จะใช้วิธีการแสดงแบบสัจนิยม (realistic) มากนักไม่ได้ เพราะหาไม่ผู้ชมจะกลายเป็นผู้ที่นั่งอยู่ริมขอบเวทีมวยไป ยิ่งถ้ามีฉากที่รุนแรงก็จะยิ่งเสียหายหนัก คณะละครอนัตตาใช้พื้นที่ได้อย่างชาญฉลาด ไม่มีการใช้ฉากละครอย่างที่เรารู้จักกัน เพราะไม่มีเวที แต่การเคลื่อนอุปกรณ์บางอย่างเข้าออกจากเวทีทำได้อย่างรวดเร็วและแนบเนียน และการกำกับไฟก็อยู่ในระดับที่น่ายกย่องเช่นกัน ดังเช่นฉากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งไม่ทำให้เห็นความรุนแรงที่ผู้ชมรับได้ยาก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่เกินกว่าเรื่องของเทคนิค ฉากที่ควรบันทึกเอาไว้เป็นตัวอย่างของการจัดฉากให้เกิดเอกภาพกับการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ ฉากโต๊ะจีนหมุนได้ อันเป็นฉากที่นักการเมืองพยายามจะติดสินบนป๋วย และป๋วยปฏิเสธทั้งด้วยคำพูดที่หนักแน่นกินใจ และด้วยการผลักไสจานอาหารที่มีฝาครอบและบรรจุเงินสดเอาไว้ให้กลับไปอยู่เบื้องหน้าผู้ที่จะมาติดสินบนเขา อีกฉากหนึ่งที่ผู้กำกับการแสดงจัดวางไว้อย่างเหมาะสมคือ ฉากที่ป๋วยเป่าขลุ่ย (ซึ่งได้กล่าวมาแล้วครั้งหนึ่งข้างต้น) ผู้แสดงเป่าขลุ่ยเป็น แต่ก็แสดงฝีมือเพียงช่วงสั้นๆ (คงต่างจาก โหมโรง ฉบับมิวสิคัลมาก) และวงดนตรีก็เข้ามารับช่วงไปเป็นตอนๆ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ได้ต้องการจะสร้างความสมจริงด้วยความสามารถในด้านดนตรีของผู้แสดงนำ แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงบุคลิกภาพที่เปี่ยมด้วยสุนทรียลักษณ์ของปัญญาชนแนวหน้าของไทยผู้นี้ เท่ากับเป็นการประกาศว่า สุนทรียภาพในตัวบุคคลเป็นเครื่องหนุนความเบ่งบานของสติปัญญาและความแข็งแกร่งในเชิงจริยธรรมได้ด้วย นั่นคือเอกภาพของ ความจริง ความดี และความงาม ใช่หรือไม่
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้แล้วก็คงจะต้องพูดถึงความสามารถของนักแสดง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอยู่ในระดับที่สูงมาก รวมทั้งการร้องเพลงแบบละครร้องของไทยแถมไปด้วย นักแสดงที่ผมให้คะแนนสูงสุดคงจะเป็นผู้แสดงบทของมากาเร็ต ผมได้ยินคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เล่าไว้หลายครั้งว่า มากาเร็ตเป็นภรรยาตัวอย่างที่ช่วยให้ชีวิตครอบครัวดำเนินไปด้วยดี และหนุนเนื่องให้ป๋วยได้ทำงานที่สำคัญๆ จนสำเร็จ ผู้เขียนให้บทกับศรีภรรยาผู้นี้ไว้อย่างน่าประทับใจยิ่ง คำพูดของเธอแสดงให้เห็นถึงความสำนึกในบทบาทของเมียที่ดี แต่เธอก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เธอเป็นผู้ชี้ทางสายกลางให้แก่ป๋วยในการปฏิบัติต่อลูก มิให้ตายตัวเกินไปอย่างเช่นมารดาของป๋วย และก็ไม่หย่อนยานเกินไปแบบพ่อแม่ที่ตามใจลูก ตั้งแต่ต้นจนจบ นับตั้งแต่ฉากที่จากกันเมื่อป๋วยลงเรือออกจากอังกฤษไปทำหน้าที่ทหารในกองทัพอังกฤษและในฐานะเสรีไทยในระยะต่อมา จนกระทั่งตอนสุดท้ายที่เธอเข็นรถให้กับสามีซึ่งกลายเป็นคนป่วยไปแล้ว มากาเร็ตคือตัวแทนของแนวคิดที่ว่า “สิ่งเล็กๆ คือสิ่งที่งามงด” และผู้แสดงก็ปรับบทบาทตามความเปลี่ยนแปลงของท้องเรื่องได้อย่างดียิ่ง มีความเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป ไม่อ่อนเกินไป เรียกว่าเดินสายกลาง
สำหรับดนตรีนั้น ผมคิดว่าเมื่อลดจำนวนนักดนตรีลงมาเหลือเพียง 4 คน บวกกับกลองอีก 1 ชุด ผู้ชมจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินทุกโน้ต และกลุ่มนักดนตรีก็อาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาแสดงอีกสัก 2-3 รอบกว่าจะเข้าที่ ผมคิดว่ามังกรสลัดเกล็ดฉบับแรก ซึ่งคีตกวีคนเดียวกันนี้ คือคานธี วสุวิชย์กิต แต่งและกำกับวงด้วยตัวเอง เป็นดนตรีมิวสิคัลที่มีคุณภาพสูงมาก ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าการลดรูปหรือลดวงให้เหมาะกับฉบับที่สองนี้ลงตัวแล้วหรือไม่ การใช้เครื่องสายที่ต้องทำหน้าที่รองรับอารมณ์ประเภทยกย่องรัฐบุรุษไปด้วย ซึ่งตัวบทเรียกร้องเป็นครั้งคราวนั้น เป็นปัญหาอย่างแน่นอน และผู้ประพันธ์ดนตรีก็จำใจต้องหาทางออกด้วยการใช้กลองแบบสนั่นพันลึก ผมยังคิดว่าถ้าใช้เครื่องเป่าทั้งหมด ดังเช่นในกรณีดนตรีฉบับดั้งเดิม (original score) ของ The Man of La Mancha (ซึ่งใช้ในการแสดงครั้งที่ 2 ที่โรงละครรัชดาลัย) อาจจะง่ายกว่าและได้ผลดีกว่า แต่การบรรเลงในรอบแรกก็ต้องเรียกได้ว่าผ่านไปได้ดีพอสมควร ส่วนที่คงจะต้องปรับอีกเล็กน้อยก็คือการร้องหมู่และการร้องประสานเสียง ซึ่งยังขาดความแม่นยำอยู่บ้าง
หลังการแสดง ลูกศิษย์ผมที่ได้ชมมังกรสลัดเกล็ดครั้งนี้ด้วยกัน ตั้งคำถามกับผมว่า “ละครเรื่องนี้ก็แนวเดียวกับคือผู้อภิวัฒน์” (ซึ่งผมเองถือว่าเป็นหมุดหมายที่สำคัญของการละครสมัยใหม่ของไทย และก็เป็นต้นแบบของ “ละครผอม”ที่ยิ่งใหญ่) เหตุใดจึงไม่ประทับใจเท่ากับคือผู้อภิวัฒน์ ผมไม่ลังเลที่จะตอบไปโดยทันทีทันควันว่า สารอันลึกซึ้งนั้นมักจะไม่สื่อออกมาโดยตรงด้วยคำพูดของผู้แสดง แต่จะใช้กระบวนการถอยห่างแบบปรมาจารย์ แบร์ทอลท์ เบรชท์ เพื่อให้ผู้ดูผู้ชมได้มีโอกาสในการฉุกคิด ผมยังจำฉากสุดท้ายของ คือผู้อภิวัฒน์ ได้ดี ซึ่งเป็นฉากที่ ดร. ปรีดี นั่งเขียนบันทึกโดยฝากความหวังไว้กับคนรุ่นหลังว่า พวกเขาจะได้คันพบความจริง เพราะตัวท่านเองนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดความจริงได้ ถ้านักแสดงเดินออกมากล่าวความนี้หน้าเวทีในรูปของเอกวัจน์ (monologue) แบบเจ้าชายแฮมเล็ต ก็อาจจะเสียรสทันที แต่ผู้แสดงก้มหน้าเขียนหนังสือไปและพูดไป โดยมิได้ต้องการจะเน้นว่าสิ่งที่เขียนบันทึกลงไว้นั้นมีความสลักสำคัญอันใดเป็นพิเศษ มังกรสลัดเกล็ด อาจจะยังชำระคราบของสัจนิยมออกไปได้ไม่มากพอ (เรื่องของการผูกโยงกับโลกแห่งความจริงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เช่น เมื่อตอนที่ลูกชายชื่อใจ กลับบ้านช้า ผมอดสะดุ้งไม่ได้ เมื่อได้ยินคำถามว่า “นี่ใจยังไม่กลับอีกหรือ” โลกแห่งความเป็นจริงเข้ามาทำลายมายาของศิลปะไปอีกแล้ว เพราะเรารู้ว่าตอนนี้ใจอยู่ที่ไหน!) ถ้าละครรู้จักถอยห่างจากความเป็นจริงมากกว่านี้ สารอันสำคัญยิ่งก็จะฝังใจผู้ชมได้ดีกว่านี้ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ด้วยความเชื่อว่า “ละครผอม” ที่เติบโตมาในรอบ 2-3 ทศวรรษนี้ได้สร้างผู้ชมขึ้นมาเป็นจำนวนไม่น้อยแล้วที่ได้คิด ฉุกคิด และคิดต่อด้วยตนเองได้ โดยที่ละครไม่ต้องบอกความโดยตรง นักวิจารณ์จึงทำได้แต่เพียงขออนุญาตทวนความจำให้แก่นักแสดงว่า มีอะไรที่พวกเขาทำได้ และทำได้ดี จึงควรใช้ศักยภาพนั้นให้เต็มที่ โดยที่ไม่ละเลยการมองไปข้างหน้า