“Corneille-Brecht” ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้ชม ในงานเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 8
เมื่อวานนี้ (8 พ.ย. 53) ผู้เขียนได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง Corneille-Brecht ที่โรงภาพยนตร์ 13 พารากอน ซินีเพล็กซ์ ซึ่งเป็นการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรอบแรก และจะฉายซ้ำอีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. ภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใน 150 เรื่องที่นำมาฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯครั้งที่ 8 ที่มีธีมของงานว่า “Emotions Unleashed” หรือที่มีชื่อภาษาไทยว่า “มาร่วมกับป้ายสีหัวใจให้ ‘แปดเปื้อน’ ประสบการณ์ความสุขจากภาพยนตร์” ซึ่งจัดฉายที่ พารากอน ซินีเพล็กซ์ และ เมเจอร์ซินีเพล็ก สุขุมวิท-เอกมัย ในระหว่างวันที่ 5 -14 พฤศจิกายนศกนี้
แม้ว่างานเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯในปีนี้จะจัดเป็นครั้งที่ 8 แล้ว แต่ผู้เขียนก็ต้องขอสารภาพว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าร่วม และภาพยนตร์เรื่อง Corneille-Brecht ก็นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของงานเทศกาลที่ได้ชม ก่อนอื่นผู้เขียนต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ได้ตั้งใจไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ไปเพราะได้รับคำชวน ก่อนที่จะชมก็รู้เพียงแค่ว่าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่นำผลงานของนักเขียนฝรั่งเศส คือ Pierre Corneille กับ Bertolt Brecht นักเขียนชาวเยอรมันมาตัดตอนเพื่อแสดง และนำเสนอ 2 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน
เมื่อได้รับข้อมูลเพียงเท่านั้น โดยส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าจะได้ดูหนังที่มีนักแสดงหลากหลายออกมาโลดแล่นเหมือนกับภาพยนตร์ทั่วๆไปที่เคยดูมา แต่สิ่งที่ได้ชมกลับพลิกความคาดหวังไปโดยสิ้นเชิง เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงหญิงเพียงคนเดียว และนำเสนอด้วยการเล่าและการอ่านเท่านั้น ในฉากเปิดเรื่องเริ่มต้นด้วยนักแสดงหญิงคนหนึ่งกำลังยืนท่องบทของ Pierre Corneille เป็นภาษาฝรั่งเศสที่ระเบียงตึกแห่งหนึ่ง และในระหว่างที่ท่องบทนั้นก็มีเสียงรถ และเสียงอื่นๆ แทรกเข้ามาตลอดเวลา ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฉากที่ผู้หญิงคนเดิมนั่งอ่านบทละครของ Bertolt Brecht เป็นภาษาเยอรมัน โดยแสดงให้เห็นว่าบทละครเรื่องนี้ไม่ได้อ่านรวดเดียวจบ แต่อ่านต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากผู้แสดงเปลี่ยนชุดประมาณ 5 ชุด เมื่ออ่านบทละครจบในรอบแรก ก็เริ่มต้นแสดงใหม่ตั้งแต่ต้นไปจนครบ 3 รอบ ภาพยนตร์นี้จึงจะจบลง ซึ่งทั้งสามรอบจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
หากจะถามว่าได้รับความประทับใจอย่างไรเมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ก็คงต้องยอมรับว่าไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจากความอ่อนด้อยในด้านภาษาทั้งฝรั่งเศสและเยอรมันที่มีอยู่จำกัด ถึงแม้ว่าจะเคยเรียนภาษาทั้งสองมา แต่ก็เรียนมานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงทำให้ไม่สามารถที่จะจับกระแสความที่นักแสดงสื่อได้ครบถ้วนทั้งหมด โดยส่วนตัวคิดว่าสารที่ผู้กำกับภาพยนตร์ คือ Jean-Marie Straub และ Cornelia Geiser มุ่งที่จะสื่อน่าจะเน้นหนักที่ความคิดของ Bertolt Brecht มากกว่า Pierre Corneille แม้ว่าเรื่องราวของนักเขียนทั้งสองที่คัดมาจะนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับอาณาจักรโรมัน แต่ก็นำเสนอกันในคนละมุมมองกัน ผู้กำกับเลือกที่จะใช้บทของ Pierre Corneille เป็นเพียงเปิดเรื่องให้ผู้ชมรับรู้ว่าเรื่องราวที่นำเสนอเกี่ยวกับอาณาจักรโรมันในอดีต ในขณะที่เรื่องราวที่ตัวละครถ่ายทอดส่วนใหญ่มาจากบทละครของ Bertolt Brecht เรื่อง Das Verhör des Lukullus (คดีของลูคุลุส)
เรื่องราวของ Lukullus ผู้เป็นขุนพลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโรมัน ในฉากที่กล่าวถึงนี้เป็นการพิจารณาตัดสินว่า Lukullus สมควรที่จะไปสวรรค์หรือไปนรก โดยลูกขุนที่มาร่วมพิจารณาคดีของเขามีทั้งครู ชาวนา แม่ค้าปลา คนทำขนมปัง และนางกำนัล ในขณะที่ Lukullus อยากให้เชิญพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นพยาน แต่ปรากฏว่าหาตัวท่านไม่พบ ตลอดการพิจารณาคดีจะเห็นมุมมองของคนหลากหลายอาชีพที่มีต่อสงคราม ในขณะที่ Lukullus เห็นว่าตนทำวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ให้กรุงโรม ทำให้โรมได้เมืองขึ้น 53 เมือง แต่ลูกขุนส่วนใหญ่กลับเห็นว่าสงครามก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่คนส่วนใหญ่
จะเห็นได้ว่าแม้เรื่องราวที่นำเสนอจะมีมุมมองที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยิ่งใหญ่ของมหาอาณาจักรดังเช่นโรมัน ที่ตั้งอยู่บนกองทุกข์ของคนตัวเล็กๆ แม้ว่าความยิ่งใหญ่นั้นจะเป็นความยิ่งใหญ่ในโลกนี้ แต่ในปรโลกความยิ่งใหญ่ดังกล่าวก็กลายเป็นอาชญากรรมไป ละครเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ถ้าโลกนี้ไม่ให้ความยุติธรรม ปรโลกนั่นแหละจะเป็นที่ซึ่งให้ความยุติธรรมแก่มวลมนุษย์ ประเด็นนี้นับเป็นศิลปะที่ชวนให้คิดต่อได้อย่างไม่รู้จบ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าสารความคิดที่หนักแน่นเช่นนี้ไม่สามารถสื่อความกับผู้ชมชาวไทยในวงกว้างได้ เนื่องจากผู้ที่จะเข้าใจและซาบซึ้งกับภาพยนตร์เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ทั้งภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมันเป็นอย่างดี (สังเกตได้จากรอบที่ผู้เขียนไปชมมีผู้ชมทั้งโรงเพียง 10 กว่าคนเท่านั้น) นอกจากนี้ ลีลาในการอ่านของผู้แสดงในเรื่องคือ Cornelia Geiser ซึ่งเป็นผู้กำกับด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทอดจังหวะ เน้นคำ อ่านในทำนองของบทกวีและร้องเพลง ต่างล้วนเป็นการนำเสนอสารความคิดผ่านการตีความมาแล้วทั้งสิ้น และเมื่อผู้ชมต้องชมการแสดงที่ส่งสารเดิมๆ ซ้ำถึงสามครั้ง ด้วยการอ่านลีลาที่เนิบช้าและชัดเจนเช่นนี้ ก็ช่วยย้ำและกระตุ้นให้ผู้ชมได้ฉุกคิดถึงสารที่นักแสดงและผู้กำกับปรารถนาที่จะส่งมายังผู้ชมได้ไม่ยากนัก
แม้ว่าประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ในงานเทศกาลครั้งนี้จะไม่ได้สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนมากนัก แต่เมื่อได้กลับมาค้นข้อมูลเกี่ยวกับเทศกาลในครั้งนี้ก็พบว่ามีภาพยนตร์ให้เลือกชมกว่า 150 เรื่องใน 9 สายหลัก คือ ภาพยนตร์เอเชียนร่วมสมัย (Asian Contemporary) Cinema Beat ภาพยนตร์จากละตินอเมริกา (Cine Latino) สารคดี (Doc Feast) ภาพยนตร์สั้นจากทั่วโลก (Short Wave) ภาพยนตร์แนวทดลองและนิวมีเดีย (Gut Nuveau) ภาพยนตร์เพลงและดนตรี (Music & Dance A LA CART) ภาพยนตร์ของ ฌาคส์ ดัวญง (Jaques Doillon) ผู้กำกับคนสำคัญของฝรั่งเศส และภาพยนตร์ร่วมสมัยที่โดดเด่นจากประเทศตรุกี (New Turkish Cinema) จึงนับเป็นโอกาสที่เปิดกว้างให้ผู้สนใจเลือกชมภาพยนตร์ตามรสนิยมและความสนใจของตนได้
เทศกาลภาพยนตร์ในครั้งนี้ก็จะจบลงแล้วในเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ผู้เขียนจึงอยากจะเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ครั้งนี้ เพื่อแต่งแต้มสีสันให้กับหัวใจด้วยความสุขจากการชมภาพยนตร์คัดสรรกว่าร้อยเรื่องจากทั่วโลก ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่หาไม่ได้ง่ายๆ ที่จะได้ชมภาพยนตร์คุณภาพในราคาถูก เพราะราคาค่าบัตรเข้าชมเพียง 100 บาท และ 50 บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษา หากสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์และกิจกรรมในครั้งนี้ได้ที่ www.worldfilmbkk.com
————————————–