ที่ทางและสถานการณ์ปัจจุบันของโรงละครโรงเล็กในกรุงเทพมหานคร
ที่ทางและสถานการณ์ปัจจุบันของโรงละครโรงเล็กในกรุงเทพมหานคร
อรพินท์ คำสอน
ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา (2556) ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมฟังคุณประดิษฐ ประสาททอง พร้อมนักแสดงผู้เป็นตัวแทนจากละครโรงเล็กในกรุงเทพมหานครอีก 4 คน คือ คุณสินีนาฏ เกษประไพ (พระจันทร์เสี้ยวการละคร) คุณจารุนันท์ พันธชาติ (B-floor Room) คุณสุนนท์ วชิรวราการ (ช้างเธียเตอร์) และคุณภาวิณี สมรรคบุตร (Democracy Theatre Studio) ร่วมกันเสวนาในหัวข้อ “ที่ทางของละครร่วมสมัยไทย โรงละครขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร” ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจที่เห็นว่าควรนำมากล่าวถึงในหลากหลายประเด็น
เบื้องต้นคงต้องทำความเข้าใจความหมายของโรงละครโรงเล็กที่คุณประดิษฐต้องการสื่อร่วมกันก่อนว่า คือ “สถานที่จัดแสดงละครเวทีอย่างสม่ำเสมอ ขนาดประมาณ 20-100 ที่นั่ง หรือขนาด 10 x 10 เมตร แต่ไม่เกิน 15 x 15 เมตร ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางไปมาสะดวก ดำเนินการโดยศิลปิน ซึ่งอาจจะเป็นเอกชนหรือราชการ แต่ต้องเพื่อสนับสนุนงานเชิงศิลปะ งานทดลองใหม่ๆ งานละครนอกกระแส และต้องมิใช่ละครเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ หรือ ละครแนวประเพณีนิยมด้วย เพราะละครเหล่านี้มักจะมีโจทย์หรือหัวข้อเฉพาะ ซึ่งศิลปินไม่สามารถที่จะสร้างงานที่แหวกกรอบ ขนบ หรือไม่สามารถที่จะสร้างเป็นศิลปะบริสุทธิ์ (pure art) ได้” ทั้งนี้ โรงละครโรงเล็กมิได้หมายถึงโรงละครชั้นรอง เพราะผู้กำกับละครชั้นนำในโรงละครขนาดใหญ่ในละครกระแสหลักจะต้องจัดแสดงละครในโรงละครโรงเล็กได้ด้วย ซึ่งผู้กำกับเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับขนาดของโรงละคร แต่ขอให้โรงละครสามารถตอบสนองสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าละครโรงเล็กมีเสน่ห์บางอย่างที่ละครโรงใหญ่ไม่มี หรืองานบางชิ้นไม่สามารถนำออกแสดงในโรงละครโรงใหญ่ได้ เพราะศักยภาพของโรงใหญ่ไม่สามารถทำให้การเล่าเรื่องดำเนินไปได้อย่างดี
โรงละครขนาดเล็กในประเทศไทยมิใช่เพิ่งจะถือกำเนิดพร้อมๆ กับกระแสความนิยมของละครเวทีกระแสหลัก โดยเฉพาะละครเพลง เมื่อไม่ปีกี่มานี้ แต่โรงละครโรงเล็กเป็นละครทางเลือกที่เคียงคู่มากับละครเวทีในสื่อกระแสหลัก (mainstream) ในสังคมไทยมายาวนานกว่าสองทศวรรษแล้ว หากจะกล่าวถึงโรงละครขนาดเล็กที่ยังคงเป็นตำนานในหัวใจของนักการละครรุ่นใหญ่และรุ่นกลางก็คงจะเป็น “มณเฑียรทองเธียเตอร์” ที่นับเป็นยุคเฟื่องฟูของโรงละครโรงเล็กที่สามารถยืนหยัดจัดแสดงอย่างต่อเนื่องได้ทุกคืนติดต่อกันมานับสิบปี ขณะเดียวกันยังได้สร้างบุคลากรทางการละครไว้เป็นจำนวนมาก และหลายคนยังทำงานต่อเนื่องอยู่จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังมีละครโรงเล็กอื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งมีทั้งที่ปิดตัวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “มายาบล็อก Studio” (ในภัทราวดีเธียเตอร์) “มะขามป้อมสตูดิโอ” และ “แปดคูณแปด คอร์เนอร์” และโรงละครที่ยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อาทิ “มรดกใหม่” “ช้างเธียเตอร์” “Democracy Theatre Studio” “Crescent Moon Space” “B-floor Room” และ “Blue Box Studio” เป็นต้น
จากประสบการณ์ของตัวแทนจากโรงละครโรงเล็กที่ร่วมเสวนาในวันนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่จะฝ่าฝันและยืนหยัดบนเส้นทางของโรงละครโรงเล็กในประเทศไทยได้จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจมุ่งมั่น และพร้อมที่จะอดทนและต่อสู้กับอุปสรรคนานับประการ นับตั้งแต่ปัญหาขึ้นพื้นที่ฐาน นั่นคือรายได้ในการเลี้ยงชีพของตน แม้ว่าจะมีโรงละครโรงเล็กบางโรงสามารถที่จะจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างสำหรับศิลปินในคณะของตนได้ เพราะดำเนินการในลักษณะของคณะละครอาชีพ เช่น “ช้างเธียเตอร์” แต่ยังมีคณะละครส่วนใหญ่ นอกจากศิลปินจะไม่ได้รับค่าตอบแทนแล้ว ยังต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนในการสร้างละครเรื่องต่อไปด้วย เช่น “Crescent Moon Space” และ “B-floor Room” แต่ทุกคนต่างยอมรับด้วยความเต็มใจ เพราะนี่คืองานที่รักและขาดไม่ได้ในชีวิต
ปัญหาประการต่อไปคือ การแบกรับค่าเช่าโรงละคร ซึ่งคณะละครบางคณะโชคดีที่มีผู้เอื้อเฟื้อคิดราคาค่าเช่าสถานที่ในราคาถูก เช่น “Crescent Moon Space” และ “B-floor Room” ที่เช่าพื้นที่จากสถาบันปรีดี พนมยงค์ แต่ยังมีโรงละครบางแห่งที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้เช่าพื้นที่ที่สูงมาก เช่น “Democracy Theatre Studio” อย่างไรก็ดี ทุกคณะต่างยอมรับว่าพื้นที่โรงละครเป็นพื้นที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องมี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้แต่คณะละครสามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยการได้ทำงานได้จริง พัฒนางานได้ และมีพื้นที่ซ้อมและแสดงงานของตนแล้ว โรงละครยังเป็นพื้นที่ที่แสดงตัวตนให้ปรากฏต่อสังคมวงกว้างอีกด้วย
เมื่อมีโรงละครแล้ว ปัญหาที่โรงละครโรงเล็กต้องเผชิญต่อไปคือ การสร้างและขยายฐานผู้ชมให้กว้างขวางและแข็งแรงขึ้น เพราะค่าบัตรเข้าชมนับเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้โรงละครโรงเล็กอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้จะพบว่าแม้จะขายบัตรเข้าชมหมดทุกรอบ แต่รายได้จากค่าบัตรในการจัดแสดงละครเรื่องหนึ่งๆ จะครอบคลุมเฉพาะค่าจัดทำ production และค่ารถของนักแสดงเท่านั้น ยังไม่รวมค่าตอบแทนศิลปิน อนึ่ง การสร้างฐานผู้ชมนับเป็นประเด็นที่นักการละครของโรงละครแต่ละโรงต้องต่อสู้กับความคิดของตนเองว่า จะทำงานเพื่อป้อนตลาดเพื่อให้ขายบัตรได้เป็นจำนวนมาก หรือว่ายังคงเลือกที่จะสร้างงานที่ตอบสนองความต้องการของตน หรือตอบโจทย์บางอย่างที่กำลังค้นหาอยู่ หรือเพื่อพัฒนาศักยภาพของคนในคณะ โดยไม่ให้ความสำคัญกับความต้องการหรือรสนิยมของผู้ชมส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าพฤติกรรมของผู้ชมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก นับเป็นปัญหาที่คณะละครต้องเผชิญ เรียนรู้และแก้ไขต่อไป
ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งที่ตัวแทนคณะละครส่วนใหญ่มีความเห็นพ้องกันคือ พื้นที่ซ้อม เพราะโรงละครโรงเล็กมักจะมีพื้นที่จำกัด และใช้พื้นที่จัดแสดงและพื้นที่ซ้อมร่วมกัน เมื่อมีคณะละครเล่นแข่งขันกันมากขึ้น จึงทำให้ขาดพื้นที่ซ้อม ทำให้โรงละครแต่ละโรงต้องแก้ปัญหาด้วยการไปขอใช้สถานที่ซ้อมใต้อาคารเรียนของมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือซ้อมที่ลานหน้าบ้านผู้กำกับฯ หรือซ้อมที่ลานหน้าอาคาร และบางครั้งยังมีการเช่าสนามฟุตซอลเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อม
แม้ว่าในปัจจุบันดูเหมือนว่าลู่ทางของละครเวทีไทยจะดูสดใสขึ้น เพราะมีโปรดักชั่นขนาดใหญ่ที่ค่าบัตรเข้าชมราคาแพงปีละหลายเรื่องและเรื่องละหลายรอบ แต่ผู้ชมส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะชมละครเวทีของโรงละครโรงใหญ่ที่เป็นสื่อกระแสหลักเท่านั้น และจะมีผู้ชมเพียงจำนวนน้อยที่เลือกชมละครนอกกระแสในโรงละครโรงเล็ก ซึ่งจำนวนผู้ชมละครโรงเล็กที่น้อยเหล่านี้ นับเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้โรงละครโรงเล็กบางโรงไม่สามารถที่จะยืนโรงได้เพราะขาดรายได้และต้องปิดตัวลงไปเป็นจำนวนมาก โรงละครเหล่านี้ต้องต่อสู้เพื่อเลี้ยงตนเองให้รอดได้ โดยแทบจะไม่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศเลย หรือมีโรงละครบางโรงโชคดีที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนการจัดทำโปรดักชั่นจากองค์กรต่างประเทศบ้าง
หากจะถามว่านักละครในโรงละครโรงเล็กเหล่านี้ไม่มีทางเลือกหรือไม่สามารถที่จะทำงานเพื่อสนองความต้องการของตลาดดังเช่นละครกระแสหลักได้จริงหรือ คำตอบคือมี แต่นักการละครเหล่านี้ต่างเลือกแล้วว่าจะยืนหยัดเพื่อทำงานในแนวที่ตนชอบและที่เลือกนี้ต่อไป เพราะเชื่อว่าการทำละครมิใช่การทำงานเพื่อขยายฐานผู้ชมหรือทำงานเพื่อป้อนตลาดเท่านั้น แต่การทำละครยังเป็นการทำงานเพื่อเรียนรู้ ค้นหา และพัฒนาศักยภาพขอคนในคณะละครให้สูงขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลที่นักการละครในโรงละครโรงเล็กเหล่านี้ต่างเลือกที่จะทำงานละครด้วยความรัก มากกว่าที่จะคำนึงถึงประโยชน์หรือสร้างรายได้เพื่อความร่ำรวย จึงทำให้โรงละครเหล่านี้มีเสน่ห์และจิตวิญญาณเฉพาะตนอย่างที่โรงละครขนาดใหญ่ไม่มี
นอกจากนี้ โรงละครโรงเล็กยังมีบทบาทหน้าที่อันสำคัญยิ่งในสังคม ซึ่งไม่เพียงนำเสนอเพียงงานละครนอกกระแสเท่านั้น แต่โรงละครเล็กๆ เหล่านี้มีหน้าที่สำคัญที่ช่วยส่งเสริม หล่อหลอมและธำรงวงการละครให้อยู่ได้อย่างมีชีวิตชีวาและเข้มแข็งในหลากหลายลักษณะ ทั้งทำหน้าที่เป็นแหล่งบ่มเพาะ และฝึกฝนให้นักการละครรุ่นใหม่มีฝีมือที่เชี่ยวกรำจนสามารถที่จะก้าวไปยืนอย่างมั่นคงในเวทีใหญ่ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติได้ ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างต้นทุนทางศิลปะและต้นทุนทางวิชาการให้แก่นิสิตนักศึกษาวิชาการละครได้เล่าเรียนผลงานละครใหม่ๆ ฝีมือนักการละครชาวไทยไปพร้อมๆ กับงานละครคลาสสิกของโลก นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ต่อยอดจากการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างอาชีพให้นักการรุ่นใหม่ให้กับนิสิตและนักศึกษาการละครที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้น โรงละครโรงเล็กยังเป็นพื้นที่ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกันได้มารวมตัว พบปะ และเสวนากันในเรื่องของละครที่รัก อีกทั้ง บทเวทีละครยังเป็นพื้นที่สื่อสารทางสังคมที่สามารถนำเสนอประเด็นต่างๆ ทั้งที่สื่อได้และสื่อไม่ได้ในสื่อสาธารณะหรือในสื่อกระแสหลัก
ท้ายที่สุดขอสรุปบทความชิ้นนี้ด้วยคำพูดทิ้งท้ายของคุณประดิษฐ์ที่ว่า โรงละครโรงเล็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของเมืองใหญ่ไม่สามารถที่จะนำวิธีคิดแบบธุรกิจ หรือการดำรงชีพด้วยเงิน ถ้าคิดว่าเงินคือปัจจัยเดียวที่เราจะดำรงชีพหรือทำให้เราหายใจอยู่ได้ ก็คงจะไม่ใช่ จึงอยากให้ทุกคนเปิดใจกว้างว่า ปัจจัยของโรงละครเล็กๆ ที่เกิดในพื้นที่เล็กๆ นั้น ส่งผลที่ยิ่งใหญ่ในระดับบุคคล ระดับชุมชน และในระดับสังคมได้จริง และชีวิตของคนไม่ได้มีเพียงแค่ปัจจัยสี่ที่จะทำให้ชีวิตเราอยู่ได้เท่านั้น แต่ยังมีในมิติของจิตวิญญาณ ความรัก และความมั่นคงทางจิตใจ ที่ทำให้เราดำรงอยู่เป็นคนที่สมบูรณ์ได้ด้วย และละครเล็กๆ ในพื้นที่เล็กๆ นี่เอง ที่ช่วยให้คนกลุ่มเล็กๆ ดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน