มีอะไรในลูกอีสาน
มีอะไรในลูกอีสาน
นพพร ประชากุล
หน้าปกหนังสือลูกอีสาน ฉบับปี พ.ศ. 2550
ข้อสังเกตประการแรกที่เกี่ยวกับ ลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวี ก็คือนวนิยายรางวัล ซีไรต์ของไทยเรื่องแรกนี้ มิได้แฝงปรัชญาอันลุ่มลึกชวนตื่นตะลึง มิได้สาธิตวรรณศิลป์อันวิจิตรตระการตา มิได้แม้แต่ตีแผ่ปัญหาสังคมเพื่อปลุกเร้าจิตสำนึกใดๆ หากผลงานของคำพูน บุญทวี เล่มนี้เล่าถึงชีวิตชนบทอันเรียบง่ายด้วยวิธีเล่าที่แลดูโปร่งใส ตรงไปตรงมา ซึ่งถ้าจะกล่าวตามสำนวนนักวิจารณ์ฝรั่งสมัยใหม่ ก็ต้องว่า ”งานชิ้นนี้เฉียดใกล้ศูนย์องศาแห่งการประพันธ์วรรณกรรม” เอาเลยทีเดียว
ความดูเหมือนโปร่งใสของลูกอีสาน นั้นควบคู่ไปกับลักษณะเหลื่อมล้ำก้ำกึ่งระหว่างนิยาย (ในความหมายของเรื่องเล่าที่มีปมเรื่อง) กับสารคดีเชิงมานุษยวิทยา (ในฐานะเป็นการถ่ายทอดรายละเอียดวัฒนธรรมท้องถิ่น) ดูเหมือนด้วยซ้ำไปว่าลักษณะสารคดีจะเป็นส่วนที่โดดเด่นและดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านมากกว่าความเป็นนิยายในแง่นี้ คงต้องยอมรับว่าคำพูน บุญทวี มิได้ “หวง” ข้อมูลทางธรรมชาติวิทยา และวัฒนธรรมที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับนวนิยายเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสูตรการปรุงอาหาร การล่าสัตว์ เทคนิคงานช่าง ฝีมือ ธรรมเนียมประเพณี คติความเชื่อพื้นบ้าน ฯลฯ หัวข้อเหล่านี้ บรรจุรายละเอียดมากมายซับซ้อน จนอาจกล่าวได้ว่าหลายครั้งมีสถานภาพเป็นพยานหลักฐานเชิงชาติพันธุ์วรรณนาในตัวของมันเอง มากกว่าจะเป็นองค์ประกอบของการเดินเรื่อง กระนั้นรายละเอียดเหล่านี้เองกลับเป็นสิ่งที่ผู้อ่านชื่นชอบในนวนิยายเล่มนี้ โดยเฉพาะในแง่ที่ตอบสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นทางวัฒนธรรมของชนชั้นกลางชาวเมือง ซึ่งนิยม “อ่านอะไรแล้วได้สาระความรู้” ยิ่งคำพูนใช้ความเป็นลูกอีสานแท้มาประกันความเที่ยงตรงถูกต้องของพยานหลักฐานที่นำเสนอ (แบบที่ฝรั่งเรียกว่า มานุษยวิทยาโดยคนใน หรือ endo – anthropology) ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความน่าสนใจ ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำภาพลวงตาแห่งความโปร่งใสนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม มิติเชิงสารคดีดังกล่าวก็ไม่ควรมาบดบังข้อเท็จจริงที่ว่า ก่อนอื่นลูกอีสานเป็นนวนิยายและมีองค์ประกอบซึ่งปรุงแต่งขึ้นตามขนบของวรรณกรรมประเภทนี้ หากนิยายคือการจำลองโลกขึ้นมาเพื่อสื่อถึงความหมายบางอย่างของชีวิต โลกในลูกอีสาน ก็ประกอบไปด้วยฟ้า อันเป็นที่สถิตของพญาแถน และพื้นดิน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพืช สัตว์ และมนุษย์ ฝนไม่ค่อยตกจากฟ้า ผืนดินจึงแห้งแล้ง หากผู้คนก็ดิ้นรนและอยู่รอดท่ามกลางความขัดแย้ง ความร่วมมือร่วมใจ และไม่ว่าอย่างไร คนก็ต้องไม่โทษฟ้า เพราะฟ้ากระตุ้นให้คนได้ทดสอบศักดิ์ศรีของตน นี่คือความหมายของความเป็นอีสาน ซึ่งเด็กน้อยคูนจะค่อยๆเรียนรู้จนเข้าใจในที่สุด ลูกอีสาน ที่แท้แล้วจึงเป็นการนำเอากระบวนการเรียนรู้ชีวิตและโลก (ในบริบทวัฒนธรรมอีสาน) มาประกอบสร้างขึ้นเป็นเรื่องเล่า
คุณลักษณะของนิยายแห่งการเรียนรู้ปรากฏให้เห็นได้ในองค์ประกอบของการเล่าเรื่องที่สำคัญ นั่นคือการใช้มุมมอง ลูกอีสาน เป็นการเล่าเรื่องผ่านสายตาและความนึกคิดของตัวละครเอกคือเด็กชายคูน สายตาของเด็กผู้กระหายใคร่เรียนรู้ มีคุณสมบัติขยายทุกสิ่งทุกอย่างให้ใหญ่ไปหมด เป็นสายตาแห่งการค้นพบที่จับเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมาในความนึกคิด อาจกล่าวได้ว่าสายตาของเด็กเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมเชิงการเล่าเรื่อง (narrative legitimacy) ให้กับรายละเอียดทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่บรรยายอย่างยืดยาวพิศดาร รายละเอียดเหล่านี้ยังอยู่ในกรอบความสมจริงของการเล่าเรื่องก็ด้วยเหตุที่สัมพันธ์กับมุมมองของเด็กโดยจำเพาะเท่านั้น
น่าสังเกตอีกด้วยว่าสายตาของคูนมิใช่เพียงสายตาแห่งการค้นพบหากยังเป็นสายตาแห่งการค้นหา เด็กน้อยของเราเป็นนักแอบดูตัวฉกาจคนหนึ่ง ตั้งแต่ยังเล็กในฉากผีปอบเข้ากินตับปู่ ”คูนขึ้นไปแอบดูอยู่ไกลๆ อยากดูก็อยากดู กลัวก็กลัว” (หน้า 4) พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ไปแอบดูทิดจุ่นพลอดรักกับคำกอง (บทที่ 5) และไปแอบดูลูกสาวญวน (บทที่ 10) การแอบดู คือความพยายามของเด็กที่จะเรียนรู้ด้วยตาตนเอง ในเรื่องที่ผู้ใหญ่ปิดบังซ่อนเร้น และในแง่ของการเล่าเรื่อง การแอบดูก็มีส่วนสร้างลักษณะแบบดรามา คือปลุกเร้าความน่าสนใจ ความน่าตื่นเต้นให้กับองค์ประกอบอันราบเรียบของชีวิตประจำวัน
หากจะวิเคราะห์ให้ถึงที่สุด เราคงต้องนับเอาการฟังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมุมมองด้วย เพราะในหลายๆ ฉากการเรียนรู้ด้วยสายตาดำเนินควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้วยหู คูนเป็นผู้รับฟังคำอธิบายต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดของตำนาน และการสั่งสอนค่านิยม วาทะของผู้ใหญ่มีบทบาทสร้างความเชื่อมโยง ความหมายคุณค่าให้กับสิ่งที่ตาเด็กเห็น หรือแม้ในกรณีของการแอบดู เช่น ในฉากทิดจุ่นพลอดรักกับคำกอง การแอบได้ยินคำพูดของหนุ่มสาวก็ช่วยให้คูนได้เรียนรู้ว่าการสัมผัสกันทางร่างกายยังมีความหมายในอีกมิติหนึ่ง นั่นคือความรัก (หน้า 34)
เราได้เห็นแล้วว่าตัวละครเอกค่อยๆซึมซับประสบการณ์โดยใช้สายตาและการฟังเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ แต่คูนได้เรียนรู้อะไรที่สำคัญจากการดูพ่อฆ่านกตกปลา ดูแม่ทำอาหาร ฯลฯ ไปวันๆ หนึ่ง การจะตอบคำถามนี้ จึงต้องหันมาพิจารณาโครงสร้างของประเด็นความคิด (thematic structure) ที่ปรากฏอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ กล่าวคือ ในแง่ของประเด็นความคิด เราจะพบว่าการต่อสู้ของมนุษย์กับความลำบากยากแค้นเป็นประเด็นที่ดูโดดเด่นที่สุด ประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงกับอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือความผูกพันกับถิ่นกำเนิด (ทั้งๆที่ถิ่นกำเนิดนั่นเอง คือแหล่งที่มาของความลำบากยากแค้น) ประเด็นเหล่านี้ได้รับการจัดสัมพันธ์กันเข้าเป็นโครงสร้างของเรื่องซึ่งมีรูปลักษณะเป็นโครงสร้างของการแสวงหาตามทฤษฎีของเกรมาส (Greimas) โครงสร้างในลักษณะนี้ประกอบด้วยผู้แสวงหา (subject) สิ่งที่แสวงหา (object) ปัจจัยเกื้อหนุน (helper) อุปสรรค (opponent) ดังแสดงเป็นแผนผังสำหรับลูกอีสาน ได้ดังนี้
ตั้งแต่เริ่มเรื่อง (ในบทแรกซึ่งชื่อ “หมู่บ้านเริ่มร้าง”) เราจะพบว่าครอบครัวของคูนถูกยั่วยวนจากตัวอย่างของครอบครัวอื่นๆ ซึ่งพากันอพยพไปจากหมู่บ้านเพราะทนความแห้งแล้งไม่ไหว ตัวละคร พ่อคือผู้ยึดมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุดกับความคิดที่จะไม่ย้ายไปไหน (ในช่วงต้นๆ ตัวละคร แม่ แสดงความคิดเห็นแย้งกับพ่อในเรื่องนี้ แต่ก็ยอมแพ้และคล้อยตามพ่อไปในที่สุด) เหตุผลของพ่อ คือบรรพบุรุษได้อยู่ที่หมู่บ้านนี้มาโดยตลอด ดังที่พ่ออธิบายให้คูนฟังว่า “ปู่ของลูกสั่งว่าไม่ต้องย้ายไปไหนนะ ลูก” (หน้า 5) ในขั้นนี้คูนซึ่งยังไม่ได้เรียนรู้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของข้อห้ามนี้จึงแย้งด้วยข้อมูลเชิง “ภววิสัย” ว่า “ปู่เราตายแล้ว ปู่ไม่ด่าหรอก” (หน้าเดียวกัน) ในอีกสองบทถัดมา เมื่อคูนถูกแม่ยุให้รื้อฟื้นเรื่องการย้ายถิ่นขึ้นมาใหม่อีกโดยอ้างเหตุผลว่าหมู่บ้านอื่นมี “ดินดำน้ำชุ่ม” พ่อถึงจำเป็นต้องยืนยันอย่างดื้อดึงถึงรากถึงโคนว่า “ฉันไม่ไปเด็ดขาด… ถึงจะตาย ฉันก็ขอพาลูกตายอยู่ที่นี่” (หน้า 16) นับแต่นี้ไปจะไม่มีใครในครอบครัวล่วงละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของข้อห้ามซึ่งสืบทอดกันมาจากปู่ย่าตายาย แม้การเดินทางไปจับปลายังแม่น้ำชี ซึ่งกินเนื้อที่ตลอดครึ่งหลังของเรื่องก็เป็นเพียงการไปเยี่ยมเยือนและหาเสบียงจากที่อื่นชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อกลับมาอยู่ยัง “บ้านเรา” ต่อไป ในตอนท้ายเรื่องนี้เอง คูนจึงได้เข้าใจความหมายของข้อห้ามเรื่องการย้ายถิ่น
คุณค่าของถิ่นกำเนิดยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่คูนจะได้เรียนรู้ หากยังมีปัจจัยที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเพราะเป็นคุณค่าที่อยู่ในระดับ “จักรวาลทัศน์” เลยทีเดียว ในท่ามกลางการไหลไปอย่างเฉื่อยๆของกาลเวลาในลูกอีสาน เราจะพบฉากดรามาติคอยู่ไม่กี่ฉาก หนึ่งในฉากเหล่านี้ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นฉากที่น่าตระหนกคือ ฉากที่คูนถูกหลวงพ่อเคนตี เพราะไปกล่าวโทษฟ้า (หน้า 54) ตั้งแต่เริ่มเรื่อง คูนมักจะคิดหรือกล่าวโทษฟ้าว่าเป็นต้นเหตุของความลำบากยากแค้นที่ครอบครัวของเขาต้องประสบ สำหรับคูนแล้ว ฟ้าก็เป็นเพียงองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ การประเมินคุณค่าฟ้าของคูนจึงเป็นไปตาม “ภววิสัย” โดยคูนหารู้ไม่ว่าฟ้าอันเป็นที่สถิตของพญาแถนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ประศาสน์ความเป็นอีสาน ดังนั้นการกล่าวโทษจึงทำให้คูนถูกหลวงพ่อเคน (ผู้เป็นตัวแทนของระเบียบกฎเกณฑ์) ลงโทษอย่างรุนแรงเสมือนเป็นอาชญากรรม คูนยอมรับโทษแต่โดยดีทั้งๆที่ยังไม่รู้เข้าใจอะไรนัก เมื่อถึงตอนจบของเรื่องคูนจึงได้ค้นพบความหมายของคำสอนของหลวงพ่อ
การที่คำพูน บุญทวี ใช้ขนบของนิยายแห่งการเรียนรู้ทำให้ลูกอีสาน เสนอภาพลักษณ์ของอีสานที่แตกต่างจากนวนิยายสัจนิยมเพื่อชีวิตที่ว่าด้วยท้องถิ่นนี้อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่นวนิยายทั้งสองแนวก็ใช้วัตถุดิบเดียวกันคือ ความลำบากยากแค้น แต่เมื่อนำมาจัดฉากและผูกเรื่องไม่เหมือนกัน ก็ทำให้สื่อความไม่เหมือนกัน กล่าวคือในลูกอีสาน คุณค่าของความเป็นอีสานอยู่ที่การเรียนรู้ที่จะ “อยู่” กับความยากลำบาก ความสามารถที่จะต่อสู้กับมันอย่างมีศักดิ์ศรี สรุปแล้วคือ ความเป็นอีสานอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องให้ใครอื่นมาสงสาร เพราะความสงสารมักควบคู่ไปกับการดูถูกแบบลึกๆ นั่นเอง
ที่มา : นพพร ประชากุล. “มีอะไรในลูกอีสาน”. ภาษาและหนังสือ 15 ปีซีไรต์. ปีที่ 25 ฉบับที่ 1-2 (เมษายน 2535 – มีนาคม 2536) หน้า 17-21.
บทวิเคราะห์
บทวิจารณ์ “มีอะไรในลูกอีสาน” เขียนโดย นพพร ประชากุล อาจารย์สอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักวิจารณ์ที่มีผลงานต่อเนื่องสม่ำเสมอในนิตยสารสารคดี
นวนิยายเรื่อง ลูกอีสาน ของ คำพูน บุญทวี เป็นวรรณกรรมที่ได้รับรางวัลซีไรต์เรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. 2522 ในโอกาสที่นวนิยายเล่มนี้มีอายุ 20 ปีนับจากได้รับรางวัลซีไรต์ คำพูน บุญทวี จัดพิมพ์ขึ้นใหม่ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง และเพิ่มภาคผนวกเป็นบทอธิบายเพิ่มเติมและรูปประกอบสีสวยงาม นวนิยายเรื่องลูกอีสานได้รับผลสำเร็จทางวรรณกรรมไม่น้อย เพราะหลังจากได้รับรางวัลซีไรต์เป็นเรื่องแรกแล้ว ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ได้รับเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายจนบัดนี้ ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 เล่มหนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน นอกจากนี้ยังเป็นผลงานเขียนที่ทำให้คำพูน บุญทวี เป็นนักเขียนที่เดินบนถนนวรรณกรรมอย่างภาคภูมิใจ และเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้คำพูน บุญทวี ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2544 แต่ทั้ง ๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นนี้ บทวิจารณ์นวนิยายเรื่องนี้กลับมีไม่มากนัก บทวิจารณ์ของนพพร ประชากุล เขียนขึ้นในโอกาสจัดพิมพ์หนังสือ 15 ปี ซีไรต์ ของสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเป็นบทวิจารณ์ที่สามารถชี้คุณค่าและความงามของลูกอีสานให้โดดเด่นจรัสแสงได้ไม่น้อย
นพพร เริ่มต้นบทวิจารณ์ด้วยการยอมรับโดยดุษณีว่า ลูกอีสานไม่ได้เป็นนวนิยายที่เสนอปรัชญาลุ่มลึก แสดงวรรณศิลป์แพรวพราว หรือปลุกเร้าจิตสำนึกทางสังคมเข้มข้นแต่อย่างใด ลูกอีสานเป็นนวนิยายที่นพพรอยากใช้คำว่า “เฉียดใกล้ศูนย์องศาแห่งการประพันธ์วรรณกรรม” ตามสำนวนนักวิจารณ์ตะวันตกเสียด้วยซ้ำ เพราะลูกอีสานมีลักษณะเป็นสารคดีมากกว่านวนิยาย แต่ความโดดเด่นและสิ่งที่เร้าความสนใจผู้อ่านมากที่สุดก็อยู่ที่ลักษณะความเป็นสารคดีเชิงมานุษยวิทยาที่ให้รายละเอียดมากมายซับซ้อนเกี่ยวกับชีวิต ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ของชาวอีสานอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จุดเด่นของลูกอีสานในแง่นี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แม้ฉบับที่พิมพ์ใหม่ครั้งล่าสุดที่ลิขสิทธิ์กลับคืนมาเป็นของผู้เขียน คำพูนก็ได้เพิ่มข้อมูลทางสังคมวิทยา-มานุษยวิทยาเข้าไปอีกทั้งในภาคผนวกและเชิงอรรถ อันทำให้มิติทางสังคมวิทยาของลูกอีสานเข้มขลังขึ้นอีกมาก
หลังจากแสดงความชื่นชมมิติทางสังคมวิทยา-มานุษยวิทยาของนวนิยายเรื่องนี้แล้ว
นพพรเตือนผู้อ่านว่าความโดดเด่นดังกล่าวไม่ควรมาบดบังข้อเท็จจริงที่ว่าลูกอีสานเป็นนวนิยายไม่ใช่หนังสือสารคดี นพพรกล่าวถึงมิติทางนวนิยายของลูกอีสาน โดยชี้ให้เห็นว่านวนิยายเรื่องนี้ใช้ขนบของนวนิยายแห่งการเรียนรู้ อันเป็นทฤษฎีของเกรมาส (Greimas) ซึ่งนำเสนอความคิดที่ใกล้เคียงกับทฤษฎีรูปแบบนิยมของรัสเซีย (Russian Formalism) นพพรชี้ว่าโครงสร้างของการแสวงหาทำให้ลูกอีสานต่างไปจากนวนิยายสัจนิยมเพื่อชีวิตที่ว่าด้วยท้องถิ่นอีสานเรื่องอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ใช้วัตถุดิบอย่างเดียวกัน คือความลำบากยากแค้น เพราะลูกอีสานชี้ว่าคุณค่าของลูกอีสานคือเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยากลำบากนั้นอย่างมีศักดิ์ศรี
ผู้วิจารณ์ยังชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของการใช้ขนบนวนิยายแห่งการเรียนรู้อยู่ที่ผู้เขียนเล่าเรื่องจากมุมมองของเด็ก การใช้สายตาและความรู้สึกนึกคิดของเด็กผู้กระหายใคร่เรียนรู้เล่าเรื่องจากสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่แอบดู และสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง สัมพันธ์กับการค้นหา เรียนรู้ และค้นพบเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตและโลก การเรียนรู้ของ ด.ช. คูนมีตั้งแต่เรื่องในชีวิตประจำวัน อย่างเรื่องยิงนกตกปลา ทำอาหาร เรื่องเพศ ไปจนเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องการทำมาหากิน และเรื่องใหญ่ระดับ “จักรวาลทัศน์” นั่นคือ เรื่องของฟ้าหรือพญาแถน หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์ไม่ควรบังอาจแตะต้อง ผู้วิจารณ์อธิบายให้เห็นว่าเรื่องใหญ่ ๆ อย่างนี้ ตัวละครผู้เล่าเรื่อง คือ ด.ช. คูน รับรู้แต่ไม่เข้าใจในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อห้ามศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวเรื่องการย้ายถิ่น และเรื่องการเคารพฟ้า อันเป็นที่สถิตของพญาแถน และการไม่กล่าวโทษฟ้าแม้ชีวิตจะแร้นแค้นยากลำบากเพียงใด ความรู้เช่นนี้ ด.ช. คูนจะเข้าใจและยอมรับได้เมื่อเขาเติบโตขึ้น อันเป็นตอนจบเรื่อง กระบวนการเรียนรู้ของ ด.ช. คูนจึงค่อยเป็นค่อยไปเป็นไปอย่างสมจริง ขณะเดียวกันผู้อ่านก็ตกอยู่ในกระบวนการเรียนรู้โลกและชีวิตตามบริบทวัฒนธรรมของอีสานไปพร้อมกับตัวละครด้วย
ผู้วิจารณ์ยังชี้ให้เห็นแก่นความคิดของนวนิยายเรื่องนี้ อันประกอบเป็นโครงสร้างของเรื่องอย่างสัมพันธ์สอดคล้องกัน นั่นคือ การต่อสู้ของมนุษย์กับความยากลำบากและความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของตน อันเป็นต้นเหตุแห่งความยากลำบากนั้นเอง ผู้วิจารณ์นำทฤษฎีของเกรมาส (Greimas) มาอธิบายโครงสร้างแก่นความคิดของลูกอีสานเพื่อให้เข้าใจแจ่มชัดขึ้น ผู้วิจารณ์ชี้ให้เห็นว่า แม้ลูกอีสานจะมีเนื้อหารายละเอียดมากมาย แต่เนื้อหาเหล่านี้จะสัมพันธ์กัน ซึ่งทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีเอกภาพในระดับโครงสร้าง และทำให้เรื่องนี้สามารถดำเนินไปอย่างเด่นชัดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
เห็นได้ว่าบทวิจารณ์นี้แนะให้เห็นจุดเด่นของลูกอีสานทั้งด้านมิติทางสังคมวิทยาและมิติแห่งความเป็นนิยาย ซึ่งจำลองโลกขึ้นเพื่อสื่อความหมายถึงคุณค่าบางอย่างของชีวิต พลังทางปัญญาของบทวิจารณ์อยู่ที่ผู้วิจารณ์ตัดสินประเมินค่าคุณค่าทางวรรณศิลป์และคุณค่าทางสังคมของนวนิยายเรื่องลูกอีสานอย่างชัดเจนและมีเหตุผล ทำให้ผู้ที่คิดว่าลูกอีสานเป็นเพียงสารคดีอ่านสนุก ต้องพิจารณาความสอดร้อยลงตัวของรายละเอียดต่าง ๆ ในลูกอีสานในฐานะนวนิยายด้วย นอกจากนี้ ผู้วิจารณ์ยังสามารถชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่าการที่ลูกอีสานเป็นนวนิยายที่เร้าใจผู้อ่านได้เข้มข้น เป็นเพราะนวนิยายเรื่องนี้แสดงคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ได้หมดจด ทั้งความกล้าหาญ ความมานะอดทน และความรักในศักดิ์ศรีของตน ดังที่ผู้วิจารณ์สามารถสรุปจุดเด่นของลูกอีสานได้ว่า นวนิยายเล่มนี้แสดงชัดเจนถึง “คุณค่าของความเป็นอีสานอยู่ที่การเรียนรู้ที่จะ “อยู่” กับความยากลำบาก ความสามารถที่จะต่อสู้กับมันอย่างมีศักดิ์ศรี” อันเป็นการชี้ให้เห็นว่า นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอคุณสมบัติความอดทน เด็ดเดี่ยว รักถิ่น และมีวัฒนธรรมของคนอีสานได้อย่างงดงาม ข้อสรุปลงท้ายที่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า “ความเป็นอีสานอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครอื่นมาสงสาร เพราะความสงสารมักควบคู่ไปกับการดูถูกแบบลึก ๆ นั่นเอง” นับเป็นข้อสรุปที่ก้าวพ้นจากประเด็นการวิจารณ์วรรณคดีไปสู่ประเด็นทางสังคมวิทยาและจิตวิทยา ซึ่งปลุกเร้าความรู้สึกภาคภูมิใจและทระนงในความเป็นอีสานได้อย่างมีพลังทีเดียว
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ : ผู้วิเคราะห์
บทวิจารณ์(และบทวิเคราะห์)นี้ เป็น 1 ในจำนวน 50 บท หากสนใจอ่านเพิ่มเติมในสรรนิพนธ์ของสาขาวรรณศิลป์
ชอบมากค่ะ นวนิยายเรื่องลูกอีสาน เพราะอ่านแล้วทำให้นึกถึงบ้านขึ้นมาทันทีเลยค่ะ สมแล้วที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยม.
อ่านแล้วครับ..ดูภาพยนตร์ด้วย ชอบมากเลยครับ
ดีมากค่ะ เหมาะสมกับบุคคลลูกอีสานน่าเอาแบบ
อย่าง
ทำไมปีที่แล้วฉันไม่ยอมอ่านอันนี้ เศร้า
—-ชอบ—-
ได้ความรู้ดีค่ะ
อ่านแล้วชอบมากค่ะ สำหรับเด็กชนบทภาคอิสาน อ่านแล้วจิตนาการไปด้วย มีความสุขมาก
หนังสือนอกเวลา หาอ่านได้ไม่ยาก ถ้าคุณๆสนใจ
ไม่มีหนังสือในเน็ตอ่านหรอครับ
เป็นคนภาคกลาง เเต่อ่านเเล้วชอบได้มีโอกาศเจอผู้เเต่ง เป็นคนใจดีไม่โอ้อวดเหมือนผู้เเต่งบางคน ท่านบอกว่าได้เเรงบรรดาลใจจากหนังสือ บ้านเล็กในป่าใหญ่ ได้ดูหนัง ทำดีมาก