การบรรยาย การวิจารณ์ในฐานะประสบการณ์: การรับ การครุ่นคิดพินิจนึก การแสดงออก

การบรรยาย “การวิจารณ์ในฐานะประสบการณ์: การรับ การครุ่นคิดพินิจนึก การแสดงออก”

โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ

IMG_5308

(การบรรยายใน “กิจกรรมค่ายการวิจารณ์ศิลปะ” วันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2556 อิงธารรีสอร์ท จังหวัดนครนายก)

              ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ กล่าวว่าในการบรรยายครั้งนี้ตั้งใจที่จะเน้นคำว่า  “ประสบการณ์” เพราะความสนใจการวิจารณ์เริ่มต้นย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา  โดยเริ่มจากการชอบฟังดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และมีโอกาสเรียนดนตรีไทยเล็กน้อย  และเรียนดนตรีสากล (ไวโอลิน) แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ฟังที่ค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังมาก  เมื่อเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษขณะอายุ 17 ย่าง 18 ปีและได้อาศัยอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester) ซึ่งมีวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นวงดนตรีเก่าแก่ที่สุดของประเทศอังกฤษ  จึงมีโอกาสได้ฟังดนตรีบ่อยครั้ง  เพราะราคาค่าเข้าฟังยังถูกมากในสมัยนั้น  ซึ่งทุนที่ได้รับจาก กพ. เพียงพอสำหรับที่จะให้มีโอกาสฟังดนตรีได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง สิ่งที่อยากจะรู้คือ  ในเมื่อเราที่มาจากวัฒนธรรมอื่น  เราฟังรู้เรื่องจริงหรือไม่  และส่วนที่เราคิดว่าเพราะนั้น  ผู้รู้คิดเช่นเดียวกันเราหรือไม่ สิ่งที่ทำก็คือ  หลังจากวันที่แสดงหนึ่งวันหนังสือพิมพ์จะตีพิมพ์บทวิจารณ์ของการแสดงดนตรีรายการที่ได้อาจารย์และนักวิจารณ์ได้ฟัง  จึงไปเปรียบเทียบว่าผิดแผกไปจากที่ผู้รู้คิดอย่างไร   หลังจากเฝ้าสังเกตตัวเองก็พบว่าไม่ช้าไม่นานก็ชักจะเข้าทาง  สิ่งที่นักวิจารณ์ว่าดีก็รู้สึกว่าดี  จนคิดว่าตนเองฟังเป็น  จากนั้น 2 ปีต่อมาก็เริ่มฟังดนตรีเป็นแล้ว  ในขณะเดียวกันก็ได้อ่านบทวิจารณ์เป็นจำนวนมาก  นับเป็นการฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย  เนื่องจากนักวิจารณ์ประจำหนังสือพิมพ์ The (Manchester) Guardianใช้ภาษาอังกฤษได้ไพเราะมาก

            ขณะที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น  อาจารย์เจตนาเรียนวิชาภาษาปัจจุบัน   อาจารย์เล่าว่าการบ้านส่วนใหญ่มักเป็นการอ่านหนังสือทั้งที่เป็นตัวงานวรรณกรรมและการวิจารณ์   ในการเรียนระบบอังกฤษปีหนึ่งๆ ต้องเขียนงานไปส่งครูเป็นจำนวนมาก  เมื่อเขียนไปส่งแล้ว  ครูจะตรวจงานกลับมา  ในการเรียนสามปีเขียนงานเป็นร้อยชิ้น  เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์สนใจการวิจารณ์ ลักษณะของการวิจารณ์   วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์เป็นไปโดยธรรมชาติ  สำหรับทฤษฎีการวิจารณ์นั้น  อาจารย์กล่าวว่ามิได้มาจากการที่ถูกบังคับให้เรียนทฤษฎีวรรณคดี  ซึ่งต่างจากนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกในประเทศไทยในขณะนี้ที่มักจะถูกครูบังคับให้อ่านทฤษฎี  (ซึ่งครูเองบางครั้งก็อ่านไม่รู้เรื่อง) ทั้งนี้ อาจารย์เจตนาเห็นว่าการที่สามารถกล่าวถึงทฤษฎีต่างๆ ได้นั้นมาจากการปฏิบัติ และขณะนี้ก็ยังสนุกกับการเขียนบทวิจารณ์อยู่   อาจารย์เจตนาเล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีโอกาสเดินทางไปประเทศเยอรมนี  วันที่เดินทางไปถึงนั้นพลาดโอกาสฟังวงดนตรีจากอเมริกาที่เดินทางมาเล่น  แต่วันรุ่งขึ้นรีบซื้อตั๋วเพื่อชมการแสดงดนตรี  เมื่อฟังการแสดงแล้วก็เขียนบทวิจารณ์วันรุ่งขึ้นทันที  นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้ชมการแสดงละครฝรั่งเศส  ซึ่งแปลเป็นภาษาเยอรมัน และเล่นเป็นภาษาเยอรมันสมัยใหม่ หลังจากนั้นอีกหนึ่งวันก็เขียนด้วยลายมือและสแกนส่งมาให้ผู้วิจัยพิมพ์ให้  โดยใช้เวลาหนึ่งหรือสองวันก็ส่งตันฉบับที่พิมพ์แล้วไปให้อ่านที่เบอร์ลิน  ซึ่งอาจจะแก้อีกหนึ่งหรือสองครั้ง  ก่อนที่จะเผยแพร่ในเว็บไซต์ของโครงการฯ (www.thaicritic.com) (บทวิจารณ์ละครเรื่องนี้ได้แจกเป็นเอกสารประกอบการประชุม)  การกล่าวเช่นนี้เพื่อเป็นการให้กำลังใจว่า  เหตุที่อาจารย์เจตนาเขียนวิจารณ์ได้เป็นเพราะว่ามีความสนใจงานศิลปะเป็นพื้น  หากไม่มีความสนใจตัวงานศิลปะก็จะเขียนไม่ได้ 

            ประการที่สอง  คือ การศึกษาตัวอย่างจากผู้ที่มีประสบการณ์สูง  ผู้ที่มีความสามารถสูง  และผู้ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง  บุคคลที่อาจารย์เจตนาติดตาม  ซึ่งในภายหลังได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษให้เป็นท่านเซอร์ (คือ Sir Neville Cardus)  ซึ่งได้รับจากการเขียนวิจารณ์ดนตรี 

            ประการต่อมา  อาจารย์เจตนาเห็นว่างานของศิลปินและนักวิจารณ์สร้างขึ้นจากประสบการณ์อันหลากหลายรูปแบบ  ดังนี้

            1)       ประสบการณ์ตรง จากชีวิตจริง ทั้งผู้ที่เป็นนักวิจารณ์และผู้ที่เป็นศิลปินจะต้องได้มีประสบการณ์ที่ได้รับจากชีวิตจริง ไม่มีใครที่จะเกิดมาแล้วจะสร้างงานศิลปะและงานวิจารณ์ได้เลยในสุญญากาศ  นักประพันธ์หรือศิลปินที่ไม่มีประสบการณ์จะมีข้อด้อยเมื่อเทียบกับผู้ที่มีประสบการณ์สูง  หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ  นักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงมากผู้ล่วงลับไปกว่า 20 ปีแล้ว  ได้เคยตินักประพันธ์บางคนไว้ว่า  “คนๆ นี้เขียนงานนวนิยายออกมา  รู้ได้เลยว่าเขาเองไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ”

           2)       ประสบการณ์จากการแสวงหาความรู้ ซึ่งแน่นอนว่าของบางอย่างไม่ได้มาด้วยตัวเอง  แต่เป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา  การแสวงหาความรู้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าห้องสมุด แต่ในปัจจุบันมีวิธีที่หลากหลาย  โดยเฉพาอย่างยิ่งการมีสื่อต่างๆ เข้ามาช่วย  แต่ในขณะเดียวกันสื่อเหล่านี้ก็อาจจะทำลายเราได้เช่นกัน  ความสามารถในการแยกแยะจึงสำคัญมากสำหรับยุคใหม่

              3)       ประสบการณ์จากงานศิลปะ เป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่สุด  ถ้าอยากจะเขียนงานวิจารณ์ทัศนศิลป์แล้วไม่ไปเดินดูงานนิทรรศการศิลปะเลย ก็คงจะวิจารณ์ไม่ได้

          4)       การถ่ายกรองประสบการณ์เป็นงานสร้างสรรค์  ในประเด็นนี้เป็นการกล่าวกับศิลปินโดยตรงว่า  งานสร้างสรรค์นั้นต้องมาจากประสบการณ์ที่กลั่นกรองแล้ว  อาจารย์เจตนาเห็นว่าการนำขาหยั่งไปตั้งอยู่เบื้องหน้าธรรมชาติอันสวยงามแล้ววาดภาพเลยนั้น  อย่าคิดว่าไม่มีการกลั่นกรอง  หากใครมีโอกาสไปฝรั่งเศสขอให้หาโอกาสนั่งรถไฟออกไปนอกเมืองปารีสประมาณครึ่งชั่วโมง  ไปหมู่บ้านที่ฟานก๊อก (Van Gogh) เคยอยู่  เพราะมีการนำภาพที่ฟานก๊อกเขียน  ซึ่งเป็นงานผลิตซ้ำมาตั้งเอาไว้ (reproduction)และบอกว่าจากจุดนี้ที่ฟานก๊อกเขียนภาพ เมื่อมองๆ ไปก็พบว่าธรรมชาติตรงนั้นก็พบว่าธรรมชาติเปลี่ยนไปบ้าง  แต่อย่าคิดว่าเป็นการถ่ายแบบนำกล้องถ่ายรูปไปถ่าย  ผู้ที่ถ่ายภาพดีคือผู้ที่ถ่ายรูปแล้วไม่เหมือนของจริง อาจจะด้วยการจัดวางแสง  เพื่อไม่ให้เหมือนของจริงราวกับถ่ายเอกสาร  ฉะนั้น การถ่ายกรองต้องมาจากประสบการณ์อะไรบางอย่าง รวมทั้งฝีมือและการเล่าเรียน

            5)       งานศิลปะในฐานะสมบัติกลาง  แน่นอนที่สุดว่าเมื่อเผยแพร่งานออกไปแล้ว  มหาชนได้มาสัมผัสกับตัวงานนี้แล้ว เจ้าของผลงานจะยังยึดติดกับผลงานและแสดงทัศนะตอบโต้การตีความของมหาชนว่าตีความผิดก็สามารถกระทำได้  แต่ศิลปินใหญ่ๆ จะไม่ทำ  ศิลปินใหญ่ๆ มักจะกล่าวว่า  “งานของข้าพเจ้ามีความหมายเท่าที่ผู้รับไปตีความเอง” นอกจากนี้  อาจารย์เจตนาเล่าว่าเพิ่งจะเขียนสูจิบัตรให้กับศิลปินชื่อ สมบูรณ์  หอมเทียบทอง  ซึ่งเป็นศิษย์เก่าเยอรมันมาขอให้เขียนให้  ซึ่งก่อนที่จะเขียนได้ไปดูงานหลายครั้ง และไปดูกรุภาพส่วนตัวของคุณสมบูรณ์ที่อยู่ริมแม่น้ำโขงด้วยเมื่อได้ดูย่างละเอียดแล้วถึงจะตัดสินใจว่าจะเขียนให้  เพราะถ้าดูแล้ว “ตื้อ” จะเขียนไม่ได้  แต่สมัยนี้มีหลายคนที่เขียนได้ด้วยการอ้างทฤษฎีของนักทฤษฎีคนโน้นคนนี้มารวมกันเป็นบทความ  แต่อาจารย์เจตนาเห็นว่าการทำเช่นนั้นไม่ใช่การวิจารณ์   ในการอภิปรายร่วมกับคุณสมบูรณ์ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครมีงานชิ้นหนึ่งที่นำช้างไม้ตัวเล็กๆ มาเรียงกันและทำเป็นว่ากำลังจะเดินทางออกที่ห้องผู้โดยสารขาออกของสนามบินแห่งหนึ่ง  อาจารย์เจตนาตีความช้างที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินไม่ตรงกับคุณสมบูรณ์  แต่คุณสมบูรณ์ไม่เคยบอกว่าความคิดของอาจารย์เจตนาผิด  ในกรณีนี้  ศิลปินเมื่อไปถึงระดับหนึ่งแล้วจะต้องใจกว้าง  เพราะเมื่อได้มอบงานศิลปะเป็นสมบัติกลางแล้ว  ศิลปะนั้นก็จะไปสร้างประสบการณ์ให้กับผู้อื่นอย่างหลากหลาย

               6)       งานศิลปะในฐานะ ศักยภาพ  ซึ่งมีงานเขียนไว้ในเชิงปรัชญาและสุนทรียศาสตร์เป็นจำนวนไม่น้อยที่อธิบายเรื่องนี้เอาไว้  งานศิลปะมีอะไรที่แฝงอยู่ในตัว  แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสกับผู้รับ  งานศิลปะชิ้นนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์  เพราะว่ายังไม่ได้สื่อสารที่สมบูรณ์ จึงเป็นเพียงแค่ศักยภาพ  งานที่ไร้คุณค่าคืองานที่ปราศจากศักยภาพ  เพราะว่าทุกคนดูแล้วตื้อหมดยกเว้นเจ้าของผลงานที่อาจกล่าวถึงผลงานของตนและบอกว่าดี   อาจารย์เจตนาตั้งข้อสังเกตว่าในสมัยนี้ใครก็ตามที่พูดเก่งมักมีผู้เชื่อถือ  เช่นเมื่อไม่กี่วันมานี้มีการประมูลงานและมีผู้ประมูลงานชิ้นหนึ่งไปด้วยราคาสองล้านกว่าบาท  ซึ่งเห็นว่าควรมีการวิจารณ์ผลงานมากกว่าการประมูลงาน  เพราะการประมูลงานพบว่าคนไทยเก่งในเรื่องการปั่นราคาสำหรับรูปนั้นรูปนี้  สำหรับคนนั้นคนนี้

                 7)       การ รับงานศิลปะ: จาก ศักยภาพสู่ ประสบการณ์” (ปลายทาง)คือการที่เราเดินจากศักยภาพไปสู่ประสบการณ์  ซึ่งอาจารย์เจตนาเรียกว่า “ประสบการณ์ปลายทาง”  ประสบการณ์ปลายทางคือ  ผู้สร้างมีประสบการณ์จากชีวิตจริงก็ดี  ประสบการณ์จากงานศิลปะก็ดี  ประสบการณ์จากการแสวงหาความรู้ก็ดี  เมื่อถ่ายกรองประสบการณ์นั้นแล้วสร้างเป็นงานศิลปะชิ้นใหม่ และมอบงานนั้นให้กับมหาชน  ประสบการณ์ปลายทางก็คือ  ประสบการณ์การรับงานศิลปะก่อให้เกิดปฏิกิริยาใดบ้างกับตัวเราในฐานะที่เป็นผู้รับ  หรือผู้ที่ได้สัมผัสกับงานศิลปะนั้น  เราต้องถามตัวเอง  เฝ้าดูตัวเอง  และถามใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร  เช่นเดียวกับตอนที่อาจารย์เจตนาอายุ 18 ปีที่ได้ถามตัวเองขณะที่ฟังเพลงคลาสสิก  เมื่อฟังเพลงนั้นแล้วเกิดอารมณ์อย่างไรบ้าง

                8)       การวิจารณ์ในฐานะกิจของ ผู้รับการที่ศิลปินจะวิจารณ์งานของตัวเองก็อาจจะทำได้  แต่ไม่ใช่หน้าที่ศิลปิน  ศิลปินวิจารณ์งานของผู้อื่น  เขาก็ไม่ได้วิจารณ์ในฐานะที่เป็นศิลปิน  แต่วิจารณ์ในฐานะที่เป็นนักวิจารณ์  โดยปรับตัวเข้าสู่การวิจารณ์ศิลปินด้วยกัน  ในแง่นั้นถือว่าเป็นนักวิจารณ์

               9)       การวิจารณ์กับการแบ่งปัน  ในแง่นี้ถือว่าเป็นกิจสาธารณะ  ถ้าผู้ใดมีความคิดเกี่ยวกับงานศิลปะแล้ว  ไม่ควรจะเก็บเอาไว้คนเดียว  น่าที่จะนำไปแบ่งปันกับผู้อื่นบ้าง

            อาจารย์เจตนาได้ยกข้อความของศาสตราจารย์ Raymond Williams แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  ซึ่งเคยอ้างไว้ในหนังสือ แนวทางการประเมินคุณค่าวรรณคดีในวรรณคดีวิจารณ์ เยอรมัน  ฝรั่งเศส และอังกฤษ-อเมริกัน ในศตวรรษที่ 20 (ซึ่งเป็นเอกสารแจกเป็นอภินันทนาการแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม)และเล่าถึงประวัติของหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า  หนังสือเล่มนี้ขายไม่ออกเพราะว่ายากเกินไป  แต่ทางสำนักพิมพ์ไม่เคยตำหนิอาจารย์เจตนาที่ทำให้สำนักพิมพ์ขาดทุนเลย  ซึ่งสำนักพิมพ์ต้องเป็นอย่างนี้คือ ไม่ปรักปรำผู้เขียนซึ่งไม่มีคนอ่าน  เพราะว่างานบางชิ้นต้องใช้เวลาร้อยปีถึงจะรู้ว่าคุณค่าอยู่ที่ใด  ข้อความที่ยกมานี้  Raymond Williams  กล่าวว่า  “การที่เราจะวิจารณ์หรือแสดงทัศนะของเราส่วนตัวออกไปเพื่อตนเองนั้น  ถึงจะมีความสลักสำคัญต่อเราเพียงหนึ่งคนเท่านั้น  ก็ไม่ใช้สิ่งที่เราจะคิดว่ามีคุณค่า  การวิจารณ์เป็นกระบวนการที่มีพลวัต  งานวิจารณ์ที่ดีซึ่งเป็นการประเมินคุณค่า”งานวิจารณ์ที่ดีมิใช่งานวิจารณ์ที่คนอ่านอ่านไปแล้วอยู่เฉยๆ  แต่อ่านไปแล้วจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้  ถ้าไม่มีปฏิกิริยาในทางบวกหรือทางลบ  ก็ทำให้คิดต่อไปได้อีกหลายตลบ  งานวิจารณ์ต้องทำหน้าที่ประเมินคุณค่าด้วย  งานวิจารณ์ที่ดีนั้นไม่ได้ทำให้เราเกิดปฏิกิริยาบางอย่างเพียงเท่านั้นถือว่าพอใจแล้ว  แต่งานวิจารณ์จะไปมีผลต่อวิถีชีวิตของเราโดยส่วนตัวอันเป็นสิ่งที่ Raymond Williams พยายามตอกย้ำ  อาจารย์เจตนายืนยันว่างานวิจารณ์มีผลต่อวิถีชีวิตของอาจารย์แน่นอน

              ในแง่นี้ชี้ให้เห็นว่า  งานศิลปะที่มีคุณค่าเป็นงานที่เปลี่ยนชีวิตได้  อาจารย์เจตนาเล่าว่าเคยได้ฟังปาฐกถาของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานละครของ  แบร์ทอลท์ เบรคชท์  (Bertolt Brecht)ที่ฮ่องกง  ซึ่งคำสุดท้ายที่วิทยากรคนนั้นพูดและอาจารย์เจตนาจำได้จนกระทั่งทุกวันนี้คือ “ถ้าท่านไม่เชื่อว่าโลกเลี่ยนแปลงได้  จะเล่นละครเบรคชท์ไปทำไม” (ซึ่งอาจารย์เจตนาไปพบผู้เชี่ยวชาญคนนั้นที่ปารีสเพื่อหาโอกาสเสวนาต่อ)  ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ทันตา  แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างสำหรับผู้ที่ช่างคิด  เพราะจะรับสาร  ซึ่งเดิมเป็นแค่ศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวงาน  และจากศักยภาพได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความมั่งคั่งทางปัญญาที่สามารถจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคน  เปลี่ยนความคิดได้  ถ้าไม่เชื่ออย่างนั้นก็อย่ามาเล่นเรื่องงานศิลปะ

              ประเด็นต่อไป คือ สถานะของงานศิลปะ  อาจารย์เจตนาต้องการให้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องจริง กับ เรื่องแต่ง  โดยเล่าเรื่องให้ฟังว่า  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวเยอรมันไปเที่ยวเมืองฝรั่งเศสโดยการโบกรถ  ซึ่งมีชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งขับรถมาแล้วเห็นชายหนุ่มคนนี้โบกรถอยู่  จึงเรียกขึ้นรถมาด้วย  ระหว่างทางก็สนทนากันอย่างสนิทสนม  ในที่สุดชาวฝรั่งเศสผู้นั้นบอกเด็กหนุ่มว่า วันนี้ไม่ต้องไปนอนบ้านเยาวชนหรอก  ให้ไปนอนที่บ้านเขาได้เลย  เมื่อพาไปที่บ้านก็หาอาหารเย็นให้กินอย่างดี  เสร็จแล้วก็พาไปชี้ห้องนอนและบอกว่ามีห้องว่างอยู่ 2 ห้อง  ให้เลือกได้เลยว่าจะนอนห้องใด เพราะเป็นห้องของลูกชาย 2 คนของเขา ชายหนุ่มถามต่อไปว่า  ลูกชายเขาไปเรียนต่อที่เมืองอื่นหรือ  ซึ่งคำตอบของเจ้าของบ้านชาวฝรั่งเศสที่ตอบชายหนุ่มชาวเยอรมันซึ่งเป็นลูกของศัตรูว่า  ลูกของผมทั้งสองคนตายในสงครามโลกครั้งที่ 2  หมายความว่า  ลูกของเขาทั้งสองคนถูกเยอรมันฆ่า  แต่เขารับชายหนุ่มเยอรมันคนหนึ่งมานอนในบ้านเขาได้  นั่นคืออภัยทาน  ซึ่งสูงกว่าอภัยโทษมาก นอกจากนี้  อาจารย์เจตนาตั้งคำถามไว้ว่าสำคัญหรือไม่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  ถ้าเป็นงานวรรณกรรมที่ผู้แต่งสามารถที่จะแต่งได้น่าประทับใจยิ่งกว่าที่อาจารย์เจตนาเล่า  หรือ ถ้าเป็นเรื่องที่นักประพันธ์คนหนึ่งแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา  ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์โดยจินตนาการ  โดยไม่ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่น้ำหนักของเรื่องจะต่างกันหรือไม่  ว่าต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  หรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยจินตนาการ  ถ้าเชื่อกรณีหลังแสดงว่ามีความภักดีต่อศิลปะ  และเชื่อว่าศิลปะสามารถที่จะสร้างโลกที่มีความสมจริง  และสามารถที่จะสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นได้

             ในเรื่องของการรับที่เกี่ยวกับการประเมินคุณค่านั้น  อาจารย์เจตนากล่าวถึงในประเด็น “บทบาทของผู้อ่าน” ว่า  แต่เดิมวงการศิลปะจะยกย่องและให้ความสำคัญแก่ตัวศิลปินมากว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะชี้ทางให้แก่มวลมนุษย์  เป็นประทีปส่องทาง  ไม่ช้าไม่นานศิลปินเหล่านั้นก็เหลิงคิดว่าตัวเป็นอัจฉริยะที่สามารถจะบอกให้ใครทำอะไรได้  จึงก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นมาว่า  ศิลปินยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ   และถ้าไม่มีผู้อ่านการสื่อสารจะไม่สมบูรณ์  ไม่ครบวงจร และเป็นเพียงแค่ศักยภาพ  เพราะฉะนั้นจึงเสนอว่าควรที่จะมาศึกษาบทบาทของผู้รับ  ที่ถ่ายแบบจากวรรณกรรมไปสู่ศิลปะแขนงอื่นๆ ได้  โดยพิจารณาว่าเราจะทำอะไรได้จากการศึกษาผู้รับ  ซึ่งอาจารย์เจตนาได้เขียนประเด็นนี้ไว้อย่างละเอียดในบทที่ 5 ของหนังสือ แนวทางการประเมินคุณค่าวรรณคดีในวรรณคดีวิจารณ์ เยอรมัน  ฝรั่งเศส และอังกฤษ-อเมริกัน ในศตวรรษที่ 20ว่ามีสำนักหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เพิ่งตั้งใหม่ซึ่งตั้งปีเดียวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร  วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์  แต่ในขณะนี้มหาวิทยาลัยดังกล่าวได้รับการประเมินว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของเยอรมันแล้ว  อันรวมถึงในทางด้านอักษรศาสตร์ที่โด่งดังมาก  เพราะมีอาจารย์จากหลายๆ แห่งนัดมารรวมกันที่นั่นเพื่อที่จะสร้างวิชาการที่ไม่มีพรมแดน  ไม่มีภาควิชา  ซึ่งอาจารย์เจตนาเคยไปร่วมการประชุมด้วย  ในครั้งนี้มีอาจารย์มาจากรัสเซีย  แต่สนทนากันเป็นภาษาเยอรมัน  ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอาจารย์ระดับแนวหน้าอยู่  2 คน คือ Hans-Robert Jauss กับ Wolfgang Iser  แต่น่าเสียดายว่าทั้งคู่ถึงแก่กรรมไปแล้ว  แต่ทั้งสองท่านต่างเขียนงานขนาดยาวและเป็นหลักเป็นฐานไว้  ซึ่งไม่มีเวลาที่จะอธิบายรายละเอียดในที่นี้   ประเด็นที่ทำให้เกิดความสนใจใหม่ที่เกี่ยวกับโลกของผู้รับเกิดขึ้นจากสำนักที่เรียกว่าThe KonstanzSchoolซึ่งสิ่งที่สำนักนี้คิดขึ้นมาใหม่ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า  aesthetics of reception

             อาจารย์เจตนาอธิบายกระบวนการครุ่นคิด-พินิจ-นึกว่า  เมื่อได้สัมผัสกับงานแล้วต้องนำไปคิด  กลับไปไตร่ตรอง  ซึ่งได้นำหนังสือ DIE BLASSEN HERREN MIT DEN MOKKATASSENซึ่งเป็นหนังสือปะ/แปะผลงานของ  Herta Müllerนักเขียนรางวัลโนเบลชาวเยอรมันมาวิเคราะห์เป็นตัวอย่าง ซึ่งอาจารย์เจตนาเล่าว่าเพิ่งได้พบหนังสือเล่มนี้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (2556) และได้มีโอกาสพบกับนักเขียน Herta Müller ด้วย  ซึ่ง Herta Müller ชอบตัดนิตยสารมาตั้งแต่เด็ก  แทนที่จะตัดเป็นหน้า  แต่กลับตัดเป็นคำๆ  ตัดคำจากนิตยสารที่มีสีเก็บเอาไว้เป็นหมื่นๆ คำ  วันใดที่ว่างก็จะนำกรุสมบัติที่เก็บไว้ ซึ่งเป็นคำที่ตัดไว้เป็นชิ้นเล็กๆ มาเทออกบนพื้นแล้วนำคำโน้นมาผสมคำนี้  หยิบคำนี้มาผสมคำนั้น   เมื่อเอามาเรียงกันแล้วในแต่ละหน้า  สามารถที่จะเล่าเรื่องสั้นได้หนึ่งเรื่อง  การทำอย่างนี้ก็เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง  อาจารย์เจตนายอมรับว่าเมื่อพบงานในลักษณะนี้ครั้งแรกรู้สึก “ตื้อ”  แต่ว่ามีอะไรที่อยากจะกล่าวถึง  และเมื่อได้อ่านพบว่ามีสิ่งที่น่าประทับใจว่า  Herta Müllerสามารถที่จะสรรหาคำที่นำมาเรียงกันแล้วมีความหมายได้ เพราะลำพังแต่ละคำก็อยู่กันโดดๆ   เพราะฉะนั้นวิธีที่จะวิจารณ์งานประเภทนี้  หากจะใช้ใจวัดใจก็คงไม่ได้อะไรเท่าใดนัก  แต่ต้องเชื่อมโยงไปสู่ประสบการณ์ด้วยการแสวงหาความรู้  ในการแสวงหาความรู้ของอาจารย์เจตนานั้นนับว่าโชคดีที่ได้อ่านทฤษฎีวรรณคดีมาไม่น้อย ซึ่งในกรณีนี้  ทฤษฎีนับว่ามีความสำคัญ  เพราะครุ่นคิดพินิจนึกเท่าใดแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะพูดว่าอะไร   ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้เจอกับนักเขียนแล้ว  เกี่ยวกับเรื่องนี้มีทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า “มรณกรรมของผู้แต่ง”  ซึ่งตีพิมพ์แล้วในหนังสือ  พลังการวิจารณ์:วรรณศิลป์ อาจารย์ธีรา สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  แปลจากภาษาฝรั่งเศสเอาไว้  มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“…นักเขียนทำได้แต่เพียงเลียนอากัปกิริยาที่มีมาก่อนแต่จะไม่ใช่ต้นตอ อำนาจอย่างเดียวของเขาคือ ผสมผสานข้อเขียนต่างๆเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความแตกต่างขัดแย้งซึ่งกันและกันในระหว่างข้อเขียนเหล่านั้น ด้วยวิธีที่ไม่ยึดข้อเขียนใดข้อเขียนหนึ่งขึ้นมาเป็นปทัสถาน ถ้านักเขียนต้องการจะเสนอความคิดของเขา อย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องรู้ว่า สิ่ง ที่อยู่ภายในซึ่งเขาอ้างว่าจะ แปลความออกมานั้น เป็นเพียงพจนานุกรมที่มีผู้เรียบเรียงไว้แล้ว ซึ่งคำต่างๆจะอธิบายได้ก็โดยอาศัยคำอื่นๆมาประกอบเพียงอย่างเดียว และก็เป็นเพียงเช่นนี้ตลอดกาล…

                 อาจารย์เจตนาอธิบายว่า  สิ่งที่ Roland Barthes  ต้องการจะพูดคือ  เขาไม่เห็นว่านักเขียนสำคัญ  นักเขียนไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ  ต้องเป็นผู้นำทาง  ต้องเป็นประทีปส่องทางให้กับสังคม  และนักเขียนก็มักจะยกย่องตัวเองมากเกินไป  จึงเขียนว่า  “สิ่งที่นักเขียนทำคือการนำคำในพจนานุกรมมาเรียงกันเท่านั้น  โดยไม่ทำอะไรมากกว่านั้น”  สิ่งที่ Herta Müller ได้สร้างขึ้นอธิบายได้ด้วยทฤษฎีของ Roland Barthes  นั่นก็คือ  มีคลังคำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารับทอดมา และคลังคำเหล่านี้จะเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา  บางคำจะตายไป  บางคำจะเพิ่มขึ้นมาใหม่  บางคำนักเขียนเป็นคนคิดขึ้นมา  หากได้อ่านเชกสเปียร์ (Shakespeare)และได้ไปการวิเคราะห์เชกสเปียร์ในแง่นิรุกติประวัติ  จะเข้าใจเลยว่าเชกสเปียร์คิดคำใหม่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก  ซึ่งคำบางคำแม้จะเป็นคำที่รับมาก็ตาม  เมื่อนำมาใช้ในสมัยนี้ปรากฏว่าคนในสมัยนี้ไม่รู้เรื่อง  เช่น สมัยเชกสเปียร์  เวลาที่จะด่ากันจะด่าว่า  Youbase football player!”หรือ “ไอ้เจ้านักฟุตบอลสารเลว”  เพราะสมัยก่อนนั้นหมายถึงเกมของคนชั้นต่ำ  ดังนั้น  ถ้าจะอธิบายในสิ่งที่นักประพันธ์ทำก็ต้องอธิบายในแง่ที่ว่า  ทุกคนใช้ภาษาแม่  มีคลังคำในภาษาแม่  ซึ่งเรานำคำคลังเหล่านั้นมาใช้  โดยปรับเปลี่ยนบ้าง  แต่งเติมบ้าง  หลอมรวมใหม่บ้าง หน้าที่ของนักประพันธ์คือ  หลอมภาษาแม่ให้เป็นภาษาของข้าพเจ้า  และถ่ายทอดกลับไปเป็นภาษาที่ให้สังคมรับรู้เป็นเรื่องสำคัญ  แต่การตัดคำเป็นชิ้นเล็กๆ แบบนั้น  เท่ากับว่าไม่ต้องการที่จะให้ไปคิดว่าคำๆ เดียวเป็นคำที่ยิ่งใหญ่  แต่เป็นการชวนให้หันมาลองดูความเป็นวัตถุ (materiality)ของคำบ้างจะดีหรือไม่  เมื่อนำมาพิจารณาในแง่นี้จะมองเห็นลักษณะบางอย่าง  นั่นคือการแสดงให้เห็นว่างานศิลปะอยู่ได้ด้วยปัจเจกลักษณ์ของนักประพันธ์   แต่ในขณะเดียวกันงานศิลปะก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วย  จึงจะสื่อสารกับคนจำนวนมากได้   ถือว่าเป็นทั้งสมบัติส่วนตัวของนักประพันธ์ และสมบัติส่วนรวมของสังคม  คือเมื่อถ่ายทอดแล้วก็เหมือนเป็นสมบัติส่วนรวม  เมื่อคิดอย่างนี้ได้แล้ว  อาจารย์เจตนายอมรับว่าสามารถเขียนวิจารณ์ได้และไม่ “ตื้อ” อีกต่อไป  หลังจากที่ได้ครุ่นคิดพินิจนึกดูแล้ว 

             ในการนำทฤษฎีมาใช้นั้น  อาจารย์เจตนาตั้งข้อสังเกตว่าไม่ใช่การที่จะยัดเยียดให้ลูกศิษย์ว่าจะต้องท่องบ่นทฤษฎีที่มีผู้นิยมกัน  ดังเช่นการเรียนการสอนในปัจจุบันที่คำถามแรกที่ครูจะถามนิสิตนักศึกษาในการวิทยานิพนธ์คือ ใช้ทฤษฎีอะไร  และหากครูถามคำถามนี้  อาจารย์เจตนาเห็นว่าควรที่จะบอกกับครูว่า “อาจารย์อย่าเพิ่งถาม  แต่ควรรอให้ตั้งโจทย์ให้ได้ก่อน  จึงจะบอกได้ว่าจะใช้ทฤษฎีใดในการศึกษา  ไม่ใช่ว่าตั้งทฤษฎีก่อน และจึงจะตั้งโจทย์ภายหลัง”

              นอกจากนี้  อาจารย์เจตนายังเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ชมละครเวทีเรื่อง  เพลงรัก 2475   ของ คณะละครอนัตตา และ Democrazy Theatre Studio ซึ่งเป็นกลุ่มละครที่ฝีมือดีมาก  หลังจากที่ได้ชมละครเรื่องนี้แล้ว  คณะละครก็นำเก้าอี้มาตั้งบนพื้นที่แสดงและเชิญให้แสดงความเห็นพร้อมกับคุณสุลักษณ์  ศิวรักษ์ โดยคณะผู้จัดไม่ได้ให้เวลาอาจารย์เจตนาครุ่นคิดพินิจนึก การอภิปรายในวันนั้นไม่เกิดประโยชน์มากนัก  เพราะทั้งสองคนเสนอมุมมองที่คล้ายกันกว่า 80 เปอร์เซ็นต์   ถ้าจะให้สนุกต้องเชิญผู้ที่คิดไม่เหมือนกันไปแสดงทัศนะบนเวที   สิ่งที่อาจารย์เจตนามองเห็นในขณะนั้นโดยที่ยังไม่ได้กลับไปคิดที่บ้านก็คือ   ละครเรื่องนี้ใช้เรื่องจริงเป็นฐาน  ซึ่งอาจารย์เจตนายังไม่ค่อยเชื่อว่างานศิลปะที่จะดีได้ต้องมีฐานจากความเป็นจริง  และบังเอิญอาจารย์เจตนามีโอกาสได้รู้จักกับบุคคลจริงที่นำมาสร้างเป็นตัวละครทั้งคุณปาน และท่านผู้หญิง  และการที่รู้จักกับบุคคลจริงในเรื่องจึงทำให้เกิดความลำเอียงบางอย่างในการดูละครเรื่องนี้  ผู้ชมจึงไม่เหมือนกับผ้าขาวบริสุทธ์ที่ตัวงานศิลปะมาประทับ และสร้างให้เป็นภาพที่มีชีวิตขึ้นมา  แต่โดยส่วนตัวมีจุดยืนบางอย่างอยู่แล้ว  มีความสวามิภักดิ์อยู่แล้ว และมีความลำเอียงเข้าข้างคนเหล่านี้อยู่แล้ว  จึงเห็นว่าคนที่ดูละครเรื่องนี้ด้วยความเป็นกลางอาจจะให้ทัศนะที่น่าสนใจกว่า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คนรุ่นหลังที่ไม่เคยรู้จักบุคคลเหล่านี้ในชีวิตจริง   ในเรื่องเพลงยังมีปัญหาอยู่  เพราะเสียงวรรณยุกต์กับตัวโน้ตไม่ตรงกัน  ซึ่งเป็นปัญหาของการนำเพลงไทยเดิมมาแปลง  โดยเล่นด้วยเครื่องดนตรีสากล  ซึ่งได้ติประเด็นนี้ไปแล้ว  สำหรับข้อที่ติมากที่สุดคือ  อย่ามุ่งสร้างละครที่เรียกน้ำตาเฉยๆ  แต่ควรมุ่งสร้างละครที่เมื่อคนน้ำตาไหลแล้ว  คนดูน่าจะแปลงน้ำตาให้เป็นแรงปรารถนาให้ได้

               เมื่อมีโอกาสได้กลับไปครุ่นคิดพินิจนึกต่อ  อาจารย์เจตนาเห็นว่าจะต้องเตือนคนหนุ่มคนสาวเหล่านี้ว่า  อย่าใช้ละครของตัวไปเล่นเป็นละครฉลองอายุ เนื่องจากคณะละครควรมีอิสระในการสร้างงานที่จะทำอะไรมากไปกว่าการทำละครในโอกาสต่างๆ   ครั้งหนึ่งคุณประดิษฐ  ประสาททอง ต้องการหนีจากคณะละครเดิมของตน  เพราะถูกกำกับด้วยโจทย์การทำละครเพื่อการศึกษามากจนขาดความเป็นอิสระ 

              ประการที่สองคือ  อาจารย์ไม่ได้กล่าวถึงความโดดเด่นเรื่องการแสดง  เพราะไม่ทันได้คิดถึงประเด็นเหล่านี้  หากได้ไปอ่านงาน  จากตุ๊กตายอดรัก ถึง เพลงรัก 2475 การเดินทางของละครร้องแบบไทยสู่ละครเพื่อประชาชน ของอาจารย์อภิรักษ์  ชัยปัญหา (เอกสารแจกผู้เข้าร่วมกิจกรรม)  จะเห็นว่าวิเคราะห์ละเอียดมาเรื่องเทคนิคการแสดง  วิวัฒนาการของละครของคุณประดิษฐ  ที่ทำได้ดีกว่าการวิจารณ์สดของอาจารย์เจตนาวันนั้นมาก  นับเป็นตัวอย่างของการวิจารณ์ที่ดีและให้ความรู้ด้วย  จึงเห็นว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมควรจะกลับไปอ่านบทวิจารณ์ดังกล่าว  ในเรื่องของดนตรีเมื่อกลับไปคิดอีกทีว่า  การที่ดนตรีแปร่งเพี้ยน  เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งที่ แบร์ทอลท์ เบรคชท์ เรียกว่า “การทำให้แปลก”  ซึ่งจะทำให้เราเกิดความสนใจขึ้นมาและตั้งใจฟังเพลงเหล่านี้  อาจารย์เจตนาตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนบทวิจารณ์ละครเรื่องนี้อีกครั้ง 

               อีกประการหนึ่งที่อยากกล่าวถึงคือ  ละครของคณะนี้มีบท  ซึ่งต่างจากละครส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยจะมีบท  อันที่จริงละครเวทีที่มีบทก็มีของคุณนิกร  แซ่ตั้ง ที่เริ่มตั้งแต่การทำสำเนาบทละครของตนออกขาย  แต่มักจะขายไม่ค่อยได้   แต่นับว่าเป็นความกล้าที่นำบทละครของตนมาขาย   นอกจากนี้ยังสิ่งที่อาจารย์เจตนาเรียกร้องจากกลุ่มละคร  แต่ยังไม่เกิดผลก็คือ  เมื่อมีบทละครก็ควรที่จะแลกบทละครให้คณะอื่นนำไปเล่นบ้าง  ยิ่งเล่นไม่เหมือนกับที่คณะละครต้นแบบเล่นจะยิ่งสนุกขึ้น  และโลกของละครจะกว้างใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ที่ละครของใครก็เล่นอยู่แต่เฉพาะในคณะนั้นๆ

                 อาจารย์เจตนากล่าวต่อไปว่าเมื่อได้สัมผัสกับงานศิลปะ และได้คุ่นคิดพินิจนึกแล้ว  คงถึงเวลาที่จะต้องแสดงออกไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน  ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1)  การแปลงอารมณ์ความรู้สึกสู่ความเป็นเหตุเป็นผล  ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงการบอกแค่ชอบ  ไม่ชอบ  สะใจ  ไม่สะใจ  อย่างนั้นไม่เรียกว่าการวิจารณ์  2) การแสวงหามโนทัศน์หลักโดยจำเป็นต้องแสวงหามโนทัศน์หลักจากประสบการณ์การรับในครั้งนั้นให้ได้  เช่น  บทวิจารณ์ละครของฝรั่งเศส เรื่อง แฟดร์ (Phèdre)ของ ฌอง  ราซีน (Jean Racine: 1639-1699) ของอาจารย์เจตนา (แจกเป็นเอกสารประกอบ) มโนทัศน์หลักที่อาจารย์เจตนาจับได้คือ การแสวงหาความเป็นอิสระจากพันธนาการที่มาจากต้นกำเนิด  ซึ่งในที่นี้พบว่า  ผู้สร้างออกแรงมากเกินไปในการฉีกละครออกมาจากบริบทดั้งเดิม  3) การตั้งชื่อบทวิจารณ์  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  บางทีต้องคิดหลายตลบว่าทำอย่างไรให้ชื่อนั้นดึงดูดความสนใจได้และตรงประเด็น 4)ในการเขียนต้องมีการโหมโรง  ดำเนินเรื่อง และลาโรง  ซึ่งในการลาโรงที่อาจารย์เจตนาใช้ในการเขียนวิจารณ์ละครฝรั่งเศสเรื่องนี้ คือ  มีสุภาพสตรีคนหนึ่งเดินออกไปจากโรงละครเพราะทนไม่ไหว  ซึ่งอาจารย์เจตนาเขียนย้อนกลับไปว่าละครบางเรื่องมีคนดูเดินออกมากกว่านี้  เนื่องจากผู้กำกับการแสดงสมัยใหม่เห็นว่าความสำเร็จของละครคือ การให้คนดูกระทืบเท้าเดินออก และอยากให้คนดูต่อต้านเขา  โดยจงใจทำละครต่อต้านตัวบท  ซึ่งไม่ควรเอาอย่าง  5) การปรับให้เป็นวิชาการ  ทำได้โดยการเชื่อมโยงประสบการณ์ไปถึงละครเรื่องอื่นๆ  จากบทวิจารณ์ชิ้นนี้ได้เชื่อมโยงละครเรื่องนี้ไปสู่ละครเยอรมันที่เปลเป็นภาษาฝรั่งเศส   และกลับไปสู่สังคมฝรั่งเศส  หรืองานของเชกสเปียร์ในประเทศฝรั่งเศส  เชกสเปียร์ในประเทศเยอรมนี  ซึ่งสามารถทำได้และข้ามวัฒนธรรมได้  หรือละครของแบร์ทอล์ท  เบรคชท์ นำมาแสดงในประเทศไทย และกลืนเข้าไปในวัฒนธรรมของไทยในยุคนั้น  ซึ่งประสบความสำเร็จมาก   นอกจากนี้อาจปรับให้เป็นวิชาการด้วยการอ้างอิงองค์ความรู้   หรือ การตั้งประเด็นเชิงหลักการ  ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องอภิปรายกันยาวมาก  เนื่องจากประเด็นเชิงหลักการดังกล่าวจะต้องเป็นประเด็นที่ใช้ได้ไม่เฉพาะแต่เรื่องนี้เท่านั้น  แต่จะใช้ได้กับเรื่องอื่น  ซึ่งจะนำไปสู่เรื่องของทฤษฎีหรือข้อสรุปเชิงทฤษฎีเช่น  แนวคิดเชิงทฤษฎีที่อาจารย์เจตนาได้มาจากละครเรื่องนี้คือ  เรื่องความสำคัญของตัวบท  เพราะละครต้องเริ่มต้นที่ตัวบท  หากไม่เห็นความสำคัญของตัวบท และไม่พยายามที่จะเข้าใจจะทำอย่างไร  ในแง่นี้อาจารย์เจตนาได้เสนอแนะต่อศิลปินไว้ว่า  เมื่อไม่มีความรู้เรื่องบทละครฝรั่งเศส  เหตุใดจึงไม่ไปแสวงหาความรู้จากผู้รู้เสียก่อน  เนื่องจากจำเป็นต้องรู้เสียก่อนว่าต้นตอเขาคิดอย่างไร  แล้วจึงทำไม่ให้เหมือนเขา   ไม่ใช่ว่าทำไม่เหมือนเขาจากพื้นฐานของความไม่รู้  แต่การที่ทำไม่เหมือนต้นแบบต้องมาจากพื้นฐานของความรู้จักเขาที่ลึกซึ้ง  คือต้องรู้เสียก่อนว่าเขาเป็นเช่นนี้  จึงไม่ทำอย่างเดียวกัน

               ประเด็นต่อไป  อาจารย์เจตนากล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้…. ที่ระบุไว้ในมาตราที่  40 ว่า

ห้ามมิให้ผู้ใดนำมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วไปเผยแพร่เพื่อวัตถุประสงค์อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบกระเทือนต่อศาสนา กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือไปในทางที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ คำว่า “จับต้องไม่ได้” ในที่นี้สามารถตีความได้หลากหลายมากจึงอาจก่อให้เกิดความยุ่งยากได้  เช่น การจดทะเบียน “ผัดไทย”  ถือว่าใครที่ทำผัดไทยไม่เหมือนเรามีความผิดกระนั้นหรือ  หากออกพระราชบัญญัติฉบับนี้  บุคคลที่จะถูกลงโทษคนแรก คือ พิเษฐ  กลั่นชื่น  เพราะเต้นโขนโดยไม่แต่งองค์ทรงเครื่อง  และนุ่งกางเกงแบบ modern ballet ถือว่าไม่เคารพขนบประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์  แต่พิเชษฐกล่าวว่าไม่มีพื้นฐานใดที่เขานำมาใช้  โดยไม่ได้เรียนจากครูเลย  และนำของเดิมมาคิดใหม่ถามว่าเสียหายหรือไม่    นอกจากนี้  ในพระราชบัญญัติข้างต้นสามารถตีความได้หลากหลายมาก  เพราะฉะนั้นผู้ที่ตัดสินเรื่องนี้อาจจะกลั่นแกล้งผู้อื่นก็ได้  อาจารย์เจตนาตั้งข้อสังเกตว่า  เหตุใดต้องมีบทลงโทษด้วยบทลงโทษ อยู่ในมาตรา 55 ที่ว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนตามมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”แต่สิ่งที่ควรจะทำมากกว่าคือ  ทำสิ่งนี้เป็นนโยบายของรัฐในการส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ด้วยวิธีการต่างๆ    และเห็นว่าถ้าศิลปะเปลี่ยนไม่ได้  ศิลปะจะตาย  จึงอยากให้ไปชมเวลาที่มีการจัดมหกรรมรามายณะทุกครั้ง  โดยเฝ้าจับตาดูนักแสดงสองกลุ่มที่มาแสดงจะพบว่าไม่เคยเหมือนกันซักครั้ง นั่นคือ  ชวา และ บาหลี  จะเปลี่ยนแนวการแสดงอยู่เสมอ  ในขณะที่ของเราและของประเทศลาวที่รำตามเรายังเหมือนเดิมมาตั้งแต่ที่อาจารย์เจตนาเคยเห็นเมื่ออายุ 5 ขวบที่สนามหลวง  แต่สิ่งที่ต่างกันคือในปัจจุบันนี้มีการใช้แสงสีและเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ 

            อาจารย์เจตนาสรุปว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิได้นำตำราตะวันตกมาอ้าง  แต่ถ้าจะศึกษางานตะวันตก ก็จะศึกษาแบบเดียวกับในหนังสือ แนวทางการประเมินคุณค่าวรรณคดีในวรรณคดีวิจารณ์ เยอรมัน  ฝรั่งเศส และอังกฤษ-อเมริกัน ในศตวรรษที่ 20   และจี้ลงไปเลยว่าตะวันตกมีจุดโหว่ที่ใด และตะวันตกไม่เข้าใจกันเอง ณ ที่ใด  ซึ่งสามารถจะชี้ให้เขาเห็นได้  ครั้งหนึ่งเคยนำบทสรุปภาษาอังกฤษของงานชิ้นนี้ได้ส่งให้ผู้เขี่ยวชาญอ่าน   (ซึ่งตอนนี้ท่านลวงลับไปแล้ว)  ท่านเขียนตอบว่า  I agree with you.” และอาจารย์เจตนายังเก็บจดหมายตอบฉบับนั้นเอาไว้  เพราะเป็นความปลาบปลื้มในใจเป็นอย่างยิ่งที่ว่า  นักวิชาการชั้นหนึ่งแนวหน้าของตะวันตกคือ ศาสตราจารย์ René Wellek เห็นด้วยกับเรา  ดังนั้น ถ้าเราจะเจาะโลกตะวันตก  เราก็ต้องทำให้ได้เท่าเขา  และอยู่ในฐานะที่จะจี้จุดเขาได้ทั้งบวกและทั้งลบ   อาจารย์เจตนาสรุปว่าทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่จะทดแทนเรื่องของประสบการณ์  การสั่งสมประสบการณ์  และการที่จะต้องนำประสบการณ์เหล่านั้นไปใคร่ครวญ ไตร่ตรอง  เพื่อที่จะคิดใหม่ และสร้างขึ้นมาเป็นองค์ความรู้  และในท้ายที่สุด  องค์ความรู้ที่มั่นคงจะนำไปสู่การสร้างทฤษฎีได้

 IMG_5338

 

One comment

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *