การบรรยายเรื่อง “แนวทางการประเมินคุณค่างานศิลปะ: กรณีศึกษารางวัลวรรณกรรมซีไรต์”
การบรรยายเรื่อง “แนวทางการประเมินคุณค่างานศิลปะ: กรณีศึกษารางวัลวรรณกรรมซีไรต์”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ เวศร์ภาดา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ เวศร์ภาดากล่าวถึงหัวข้อที่จะนำเสนอในวันนี้ว่า เหตุผลประการหนึ่งที่โครงการวิจัยฯ เชิญมาบรรยายในหัวข้อนี้ เพราะว่าโดยส่วนตัวมีประสบการณ์ในการเป็นทั้งกรรมการคัดเลือกและกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือรางวัลวรรณกรรมซีไรต์มานานแล้ว จากหัวข้อดังกล่าวเห็นว่ามีประเด็นที่สำคัญจะกล่าวถึง 4 ประการคือ หลักการในการตัดสิน การให้ตัวอย่างทั้งนวนิยาย กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น เหตุผลที่งานชิ้นหนึ่งได้รางวัล และ สรุปการประเมินคุณค่า
ในช่วงต้น อาจารย์ธเนศทบทวนผลงานที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีล่าสุด ดังนี้
ปี |
เรื่อง |
ประเภท |
ปี |
เรื่อง |
ประเภท |
2522 |
ลูกอีสาน: ลาว คำหอม |
นวนิยาย |
2523 |
เพียงความเคลื่อไหว: เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
กวีนิพนธ์ |
2524 |
ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง: อัศศิริ ธรรมโชติ |
เรื่องสั้น |
2525 |
คำพิพากษา: ชาติ กอบจิตติ |
นวนิยาย |
2526 |
นาฏกรรมบนลานกว้าง: |
กวีนิพนธ์ |
2527 |
ซอยเดียวกัน: |
เรื่องสั้น |
2528 |
ปูนปิดทอง: กฤษณา อโศกสิน |
นวนิยาย |
2529 |
ปณิธานกวี: |
กวีนิพนธ์ |
2530 |
ก่อกองทราย: ไพฑูรย์ ธัญญา |
เรื่องสั้น |
2531 |
ตลิ่งสูงซุงหนัก: นิคม รายยวา |
นวนิยาย |
2532 |
ใบไม้ที่หายไป: |
กวีนิพนธ์ |
2533 |
อัญมณีแหงชีวิต:‘อัญชัน’ |
เรื่องสั้น |
2534 |
เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน: มาลา คำจันทร์ |
นวนิยาย |
2535 |
มือนั้นสีขาว: |
กวีนิพนธ์ |
2536 |
ครอบครัวกลางถนน: ศิลา โคมฉาย |
เรื่องสั้น |
2537 |
เวลา: ชาติ กอบจิตติ |
นวนิยาย |
2538 |
ม้าก้านกล้วย: |
กวีนิพนธ์ |
2539 |
แผ่นดินอื่น: |
เรื่องสั้น |
2540 |
ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน: |
นวนิยาย |
2541 |
ในเวลา: ชาติ กอบจิตติ |
กวีนิพนธ์ |
2542 |
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน: |
เรื่องสั้น |
2543 |
อมตะ: วิมล ไทรนิ่มนวล |
นวนิยาย |
2544 |
บ้านเก่า: โชคชัย บัณฑิต |
กวีนิพนธ์ |
2545 |
ความน่าจะเป็น: ปราบดา หยุ่น |
เรื่องสั้น |
2546 |
ช่างสำราญ: |
นวนิยาย |
2547 |
แม่น้ำรำลึก: เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ |
กวีนิพนธ์ |
2548 |
เจ้าหงิญ: |
เรื่องสั้น |
2549 |
ความสุขของกะทิ: |
นวนิยาย |
2550 |
โลกในดวงตาข้าพเจ้า: |
กวีนิพนธ์ |
2551 |
เราหลงลืมอะไรกันบางอย่าง: |
เรื่องสั้น |
2552 |
ลับแล, แก่งคอย: |
นวนิยาย |
2553 |
ไม่มีหญิงสาวในบทกวี: |
กวีนิพนธ์ |
2554 |
แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ: จเด็จ กำจรเดช |
เรื่องสั้น |
2555 |
คนแคระ: วิภาศ ศรีทอง |
นวนิยาย |
2556 |
หัวใจห้องที่ห้า: |
กวีนิพนธ์ |
|
|
|
พร้อมทั้งเล่าถึงประสบการณ์ในการเป็นกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ว่า เริ่มเข้ามาเป็นกรรมการครั้งแรกในปี 2534 โดยเป็นกรรมการคัดเลือกประมาณ 9 ปี (2534-2541, 2543) ก่อนที่จะเป็นกรรมการตัดสินครั้งแรกในปี 2547 และเป็นต่อในปี 2548-2549, 2551-2552, 2554 และ 2556 เมื่อได้เป็นกรรมการเป็นเวลานานทำให้รู้สึกว่า การตัดสินรางวัลวรรณกรรมเป็นกิจกรรมหนึ่งของการวิจารณ์ เพราะเมื่อจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้อง (defend)ว่าจะเลือกให้รางวัลหนังสือเล่มใด จำเป็นต้องอ้างเหตุผลว่า งานวรรณกรรมเล่มนี้มีจุดเด่น หรือมีลักษณะเด่นทางวรรณกรรมอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ การได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ประกอบกับได้มาเป็นกรรมการขณะอายุยังน้อย ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ว่าบุคคลที่ได้รับเชิญมาเป็นกรรมการ ล้วนเป็นผู้ใหญ่และมีคุณภาพ ทำให้ได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีการอ้างเหตุผลในการเลือกวรรณกรรมเล่มใดเล่มหนึ่ง ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเห็นประโยชน์จากการได้เป็นกรรมการว่า ได้อ่านหนังสือเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในการเป็นกรรมการคัดเลือกที่ภายใน 2 เดือนต้องอ่านหนังสือประมาณ 70 กว่าเล่ม นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่ดี ที่ได้เก็บข้อมูลด้านวรรณกรรม ซึ่งทำให้เห็นพัฒนาการวรรณกรรมปัจจุบันจากหนังสือที่ส่งเข้าประกวดในแต่ละปี ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับประสบการณ์ในการคิดแลกเปลี่ยนมุมมองการวิจารณ์กับคนอื่น อาทิ การเป็นกรรมการตัดสินงานวรรณกรรมซีไรต์ปีล่าสุด (2556) ได้เห็นว่ากวี (ที่ร่วมเป็นกรรมการ) มีวิธีการมองงานกวีนิพนธ์อย่างไร ในขณะที่นักวิชาการด้านวรรณกรรมจะมีมุมมองอีกแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ อาจารย์ธเนศอธิบายถึงโครงสร้างและบริบทของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำประเทศไทย (ซีไรต์) ว่า มีเจ้าภาพ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำคัญ 3 องค์กร คือ โรงแรมโอเรียนเต็ล สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลต่อการเลือกกรรมการเข้ามาคัดเลือกและตัดสินโดยเฉพาะนายกสมาคมฯ ทั้งสอง เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเลือกกรรมการแบบใดเข้ามา ส่วนประเภทหนังสือที่ส่งเข้าประกวดมี 3 ประเภท คือ นวนิยาย กวีนิพนธ์ และเรื่องสั้น สำหรับการคัดเลือกกรรมการในช่วงเริ่มต้นยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน แต่ต่อมาเริ่มมีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น โดยกำหนดให้คณะกรรมการคัดเลือกมี 7 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากสมาคมภาษาและหนังสือ 2 คน ตัวแทนสมาคมนักเขียน 2 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน อันได้แก่ นักวิชาการวรรณกรรม และนักวิจารณ์ และคณะกรรมการตัดสินมี 5 คน ประกอบด้วยนายกสมาคมภาษาและหนังสือฯ นายกสมาคมนักเขียนฯ ประธานคณะกรรมการคัดเลือก นักวิชาการ และ กวีหรือนักเขียน
สำหรับคำถามที่มักจะมีผู้ถามบ่อยๆ คือ กรรมการควรหลากหลายหรือไม่ กรรมการเป็นนักอ่านทั่วไปได้หรือไม่ และกรรมการต้องเป็นนักวิจารณ์ หรือ นักวิชาการทางวรรณคดีหรือวรรณกรรมหรือไม่ ซึ่งกรรมการที่ได้รับการสรรหาให้มาทำหน้าที่นี้จำเป็นต้องทำหน้าที่ในการต่อสู้เพื่อปกป้องความคิดในการเลือกหนังสือที่ตนเห็นว่ามีค่าควรที่จะได้รับรางวัล
อาจารย์ธเนศเห็นว่าการตัดสินรางวัลวรรณกรรมเป็นรสนิยมของกรรมการตัดสินแต่ละคน เพราะในขณะที่ต่อสู้เพื่อปกป้องหนังสือบางเล่มที่สนใจนั้นแทบจะไม่ได้อ้างทฤษฎีใดๆ เลย ในการตัดสินใจเลือกครั้งแรกเป็นเรื่องของรสนิยมของกรรมการ เมื่ออยู่ในบริบทที่กรรมการมีความหลากหลาย อัตวิสัยร่วมจึงเป็นข้อเรียกร้องว่าควรมีร่วมกัน เพราะอย่างน้อยก็เชื่อว่าวิจารณญาณของกรรมการทั้ง 11 คนก็ไม่น่าจะแย่ และต้องสามารถอธิบายเหตุผลในการเลือกหรือไม่เลือกได้ ทั้งนี้ อาจารย์ธเนศชี้แจงว่าในการตัดสินรางวัลเป็นการเลือกหนังสือที่ดีที่สุดในจำนวนที่ส่งเข้ามาแต่ละครั้ง และมีอยู่หลายครั้งก่อนที่ตนเองจะเข้ามาเป็นกรรมการชุดตัดสิน จะได้ยินกรรมการตัดสินหลายคนเริ่มบ่นว่า “เลือกอะไรเข้ามา ไม่เห็นดีเลย” ภายหลังเมื่อได้เป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกซึ่งต้องเป็นกรรมการตัดสินโดยตำแหน่ง ก็ต้องยืนยันว่าที่เลือกมานั้นดีที่สุดเท่าที่มีให้เลือกแล้ว คำถามว่า “มีแค่นี้จริงๆ หรือ” ถูกถามทุกปี เนื่องจากคณะกรรมการตัดสินไม่ได้อ่านหนังสือที่ส่งเข้าประกวดทั้งหมดเหมือนคณะกรรมการคัดเลือก จนกระทั่ง เมื่อได้รับมอบหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินก็ถามคำถามนี้กับประธานกรรมการคัดเลือกเช่นกัน ในที่สุดก็ต้องทำใจว่าต้องเลือกในจำนวนที่ดีที่สุด 1 เล่มจากที่คณะกรรมการคัดเลือกเลือกมา
เกณฑ์การคัดเลือกและการตัดสินจะใช้เกณฑ์เดียวกันในการพิจารณา ประธานเป็นผู้กล่าวถึงเกณฑ์ ซึ่งระบุไว้ค่อนข้างกว้างมาก คือ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คุณค่าด้านเนื้อหาสร้างสรรค์สังคม และคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เกณฑ์กว้างๆ ที่กำหนดไว้นี้มีลักษณะอัตวิสัยซ่อนอยู่ เช่น ใครชอบลักษณะทางวรรณศิลป์แบบใด หรือว่า ใครชอบเนื้อหาสร้างสรรค์สังคมแบบใด ก็จะหยิบยกขึ้นมาอธิบาย แต่ในที่สุดแล้ว การตัดสินรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ เกณฑ์เรื่องคุณค่าด้านเนื้อหาสร้างสรรค์สังคม และคุณค่าด้านวรรณศิลป์ ยังไม่สำคัญเท่ากับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทั้งนี้ มุมมองในการคัดเลือกกับการตัดสิน และขั้นตอนการคัดเลือกและการตัดสินจะแตกต่างกันบ้าง เช่น การคัดเลือกผลงานจะต้องยอมรับว่าผลงานที่คัดเลือกจากจำนวน 70 หรือ 90 กว่าเล่มที่ส่งเข้ามา กรรมการเลือกผลงานที่ไม่ได้ขี้เหร่ เลือกงานที่มีแนวเรื่องที่หลากหลาย และเข้าข่ายใน 3 ข้อที่ตั้งไว้เพื่อเสนอให้คณะกรรมการตัดสิน ภายหลังเริ่มมีเกณฑ์ที่ไม่ได้ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เหมือนรู้กันเองว่าเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ด้วยเหตุนี้ ในการเลือกของคณะกรรมการคัดเลือกจึงไม่เข้มงวดมากนัก แต่เมื่อเข้าไปสู่คณะกรรมการตัดสินอาจจะเกิดคำถามที่ว่า เรื่องนี้เข้ามาได้อย่างไร จึงต้องชี้แจงว่านี่เป็นการส่งเสริมการอ่านด้วย
ในฐานะที่เป็นกรรมการคัดเลือก อาจารย์ธเนศยืนยันว่าอ่านหนังสือทุกเล่มที่ส่งเข้าประกวด แต่มีวิธีการอ่าน เช่นกวีนิพนธ์ก็มีวิธีที่มาจากประสบการณ์ พื้นความรู้ด้านกวีนิพนธ์จริงๆ บางเล่มเปิดอ่านได้ 3 บทก็รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ที่ว่าไม่ไหวนั้น หนึ่ง ด้านเสียง เพราะว่ากวีนิพนธ์ เสียงต้องมาก่อน สอง ด้านคำ พบว่าผลงานบางชิ้นมีคำหยาบก็ต้องคัดออกไป ในการอ่านงานกวีนิพนธ์ไม่ได้อ่านทั้งเล่ม อาจจะอ่านครึ่งเล่มก็พอแล้ว เล่มที่อ่านมากที่สุด คือ เล่มที่ต้องการจะต้องไปต่อสู้ปกป้องให้ สำหรับการตัดสินจะมีขั้นตอนที่เข้มงวดมาก ในการตัดสินมักจะมีผู้ถามว่าได้ใช้ทฤษฎีวรรณคดีวิจารณ์เพื่ออภิปรายหรือไม่ ตอบว่าใช้ กรรมการที่เป็นนักวิชาการจะมีอ้างทฤษฎี แต่ไม่ได้อ้างทฤษฎีมาทั้งดุ้น อาจจะมียกขึ้นมาเป็นคำประเมินค่าในเชิงทฤษฎี เช่น เป็น paradox เป็น parallel หรืออะไรก็ตามที่จะยกขึ้นมา ซึ่งมิใช่ยกขึ้นมาให้ดูหรู แต่ยกขึ้นมาเพื่อที่จะจัดระเบียบความคิดของกรรมการคนอื่นด้วย เพราะกรรมการบางคนเป็นกวี เป็นนักเขียนที่บางครั้งก็จะยืนยันว่าไม่ชอบเรื่องนี้เลย และจะแสดงความเห็นว่า “คำจืดมาก” หรือว่า “รุงรังมาก” หรือว่า “รุงรังลิเก” ในที่สุดก็มาจบที่การประเมินคุณค่าว่า ผลงานชิ้นนี้ส่งผลประการใดต่อความคิด มีประเด็น และมีจุดใดบ้าง และมีคำถามอีกข้อหนึ่งคือ ในการตัดสินว่าคำนึงถึงผู้อ่านหรือไม่ อาจารย์ธเนศยืนยันว่าไม่ได้คิด แต่เลือกเล่มที่ดีที่สุดในแง่ที่สามารถต่อสู้เพื่อปกป้องงานที่คัดเลือกได้ในเชิงวรรณคดีวิจารณ์ และในวงวิชาการ แม้จะมีคนพูดว่า วรรณกรรมซีไรต์อ่านยาก ในแง่นี้ อาจารย์ธเนศเห็นว่ามิใช่ความรับผิดชอบของกรรมการ
อย่างไรก็ดี ในขณะที่เป็นกรรมการและต้องต่อสู้เพื่อปกป้องผลงานที่เลือกจะนึกถึงองค์ประกอบของงาน เช่น วิธีการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะนวนิยาย เพราะมีเนื้อเรื่องที่จะดูว่าจะพูดจะเล่าอย่างไรที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความอารมณ์คล้อยตาม เกิดความสดใหม่ขึ้นมา และเนื้อเรื่องมีความเป็นสากลพอที่จะต่อสู้ปกป้องได้ว่า ไม่ได้เฉพาะเหตุการณ์ อย่างการตัดสินรางวัลในปีล่าสุด (2556) มีกวีการเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือเสื้อเหลืองที่มีเนื้อหาขึ้นกับสถานการณ์การเมือง ก็จำเป็นต้องตัดงานในลักษณะนี้ออกหมด เพราะว่าเป็นเรื่องเฉพาะกาลจริงๆ การตัดสินรางวัลจึงจะต้องพิจารณาเรื่องความเป็นสากลที่กรรมการเดาได้ว่าวรรณกรรมเล่มนี้จะอยู่คงทน ผลงานที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมซีไรต์หลายเรื่องได้พิสูจน์ตัวเองแล้วเช่น คำพิพากษา ตลิ่งสูงซุงหนัก สรุปได้ว่ากรรมการตัดสินโดยใช้หลักประเมินค่าตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และการประเมินค่าดังกล่าวก็มาจากการประสบการณ์การอ่านจริงๆ
อาจารย์ธเนศให้ความเห็นกรณีของนักข่าววรรณกรรมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยทำการบ้านมาก่อนที่จะทำข่าว กล่าวคือไม่อ่านหนังสือที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ทั้งก่อนและหลังจากที่ทำข่าวแล้ว และนักข่าวส่วนใหญ่มักชอบถามกรรมการว่า งานวรรณกรรมที่ได้รับรางวัลมีงานเล่มอื่นที่เป็นคู่แข่งหรือไม่ โดยอยากให้ระบุเล่มด้วย ซึ่งโดยมารยาทกรรมการจะไม่กล่าวถึงในประเด็นนี้ แม้ว่าในความเป็นจริงจะมีก็ตาม
นอกจากนี้ อาจารย์ธเนศยังเล่าประสบการณ์ในฐานะกรรมการตัดสินว่า แม้งานวรรณกรรมได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลจะไม่ใช่ผลงานที่ตนเลือก แต่ก็ต้องเคารพคำตัดสินของกรรมการเสียงส่วนใหญ่ และเตรียมที่จะตอบคำถามเพื่อปกป้องงานวรรณกรรมชิ้นนั้นว่ามีคุณค่าอย่างไร เช่น ในการแถลงข่าวประกาศผลรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ปีล่าสุด คือ หัวใจห้องที่ห้า โดยชี้ให้เห็นความเด่นของงานวรรณกรรมเรื่องนี้ว่ามีความโดดเด่นในด้าน parallel paradox และ fusion ซึ่งอธิบายว่า
จังหวะของบทกวีเล่มนี้เป็นจังหวะเสียงที่ปรุงใหม่ผสมผสานแบบ fusion แต่ละวรรคในหนึ่งบทมีหลายจังหวะ มีตั้งแต่จังหวะกลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด กลอนเก้า บางวรรคมีลักษณะคร่อมคำคร่อมจังหวะ บางวรรคอ่านเหมือนร้อยแก้วธรรมดา เป็นจังหวะเสียงที่ไม่คุ้นเคยในความคุ้นเคย นอกจากนี้ บทกวีหนึ่งบทมักจบลงด้วยกลอนบทครึ่ง คือ 6 วรรคถามว่าผู้แต่งไม่รู้หรือว่าเขาแต่งคร่อมคำคร่อมจังหวะ เขาทำให้จังหวะกลอนผิดจากขนบ กลอนบทครึ่งเขา ไม่แต่งกัน คิดว่าผู้แต่งรู้ และผู้แต่งตั้งใจ เพราะผู้แต่ง ทำอย่างสม่ำเสมอทั้งเล่ม เช่นนี้ถือเป็นศิลปะการทำให้แปลก (Defamiliarization) คือตั้งใจสร้างความไม่คุ้นเคยในความคุ้นเคยจังหวะกลอนที่แปลกเช่นนี้ส่งผลทางวรรณศิลป์อย่างไร 1) สร้างความฉงนฉงาย กระตุกกระตุ้นให้ผู้อ่านต้องสะดุดหยุด ไม่เลื่อนไหลไปตามลีลากลอนที่เคยคุ้น เพื่อให้ถอยตัวเองออกมาครุ่นคิดพินิจนึก 2) จังหวะเสียงที่หลากหลายในกลอนแต่ละบทอาจถือเป็นภาพสะท้อนหรือภาพแทนของเสียงผู้คนอันหลากหลาย ทั้งแตกแยก ทั้งแตกต่างทางมิติสังคม มิติวัฒนธรรม ซึ่งขับเคี่ยวกันในสังคมร่วมสมัยปัจจุบัน
ประเด็นต่อไป อาจารย์ธเนศกล่าวถึงวิธีเขียนคำประกาศผลงานที่ได้รับรางวัล กับคำแถลงวรรณกรรมเข้ารอบสุดท้าย (finalists) ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี แต่เพิ่งเริ่มในสมัยที่อาจารย์ธเนศเป็นประธานคัดเลือกเสนอให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะว่าเวลาที่กรรมการคัดเลือกต้องขึ้นมาแถลงข่าว จะได้แจกให้นักข่าวลงข่าวตามที่ได้เขียนไว้ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างคำประกาศของนวนิยายเรื่อง ลับแล, แก่งคอย ของ อุทิศ เหมะมูล โดยนำคำประเมินค่ากรรมการตัดสินแต่ละคนในระหว่างที่ถกเถียงกัน และกรรมการทุกคนจะช่วยกันเรียบเรียงจนได้คำประกาศว่า
เสนอมิติอันซับซ้อนของตัวตนมนุษย์ที่แยกไม่ออกจากรากเหง้า ชาติพันธุ์ ชุมชน ความเชื่อ และ เรื่องเล่า ผู้เขียนเล่าเรื่องชีวิตมนุษย์ที่ต้องเผชิญความคาดหวังซึ่งไม่อาจต้านทานได้และพยายามดิ้นรนหาทางออกผู้เขียนใช้กลวิธีการเล่าเรื่องอันแยบยล สร้างตัวละครที่มีเลือดเนื้อและอารมณ์ราวกับมีตัวตนจริง สร้างฉากและบรรยากาศได้อย่างมีชีวิตชีวา และใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง แสดงจินตภาพกระจ่างและงดงาม
แต่คำแถลงวรรณกรรมเข้ารอบสุดท้าย จะแบ่งงานให้กรรมการแต่ละคนรับผิดชอบเขียนแต่ละเล่มแยกกันไป และจะเป็นอิสระต่อกัน ยกตัวอย่างคำแถลงเรื่อง หัวใจห้องที่ห้า ว่า
นำเสนอเรื่องเล่าโดยจำลองวิวัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณก่อนประวัติศาสตร์ การตั้งชุมชนสังคมร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมเมือง ซึ่งประกอบไปด้วย คนไร้บ้าน คนพลัดถิ่น คนกลุ่มน้อย โดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าในอดีตกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งล้วนระทมทุกข์ นำเสนอการปะทะสังสรรค์ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมผู้แต่งมองโลกและปรากฏการณ์ด้วยมุมมองที่ย้อนแย้ง ในภาคแรก “หัวใจห้องที่ห้า” และภาคหลัง “นิทานเดินทาง” ภาพคู่ขนานของการว่ายวนต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์ ท่วงทำนองการประพันธ์ใช้ฉันทลักษณ์ที่หลากหลายและมีลีลาเฉพาะตนความโดดเด่นอันเป็นคุณค่าสำคัญของกวีนิพนธ์เล่มนี้ซึ่งจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การจินตภาพอันงดงามภายใต้ฉันทลักษณ์เรียบง่าย ให้ปรากฏอยู่ภายในจิตวิญญาณของผู้เขียนส่งมายังผู้อ่านทุกขณะที่ชำแรกสายตาลงสู่รายละเอียดของเนื้อหาให้รู้สึกมีความสุข เบิกบาน คล้อยตามวรรณศิลป์ที่งดงาม สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง จังหวะ ลีลา และตัวอักษรที่เบาสบายแต่ลึกซึ้งในทุกอณูวลี สามารถสนองคุณค่าทางสุนทรียะได้อย่างสมบูรณ์บางขณะของฉันทลักษณ์แสดงความอ่อนโยน บางขณะราวปรากฏซุ้มเสียงของสายฝนพรำฉ่ำชื่นกระทบหลังคาส่งมาบาดลึกคลี่ขั้วหัวใจให้ไหวเต้นตาม บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอกยามอรุณรุ่งของเหมันต ฤดู บางขณะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ที่เป็นเอกภาพ
ทั้งนี้ อาจารย์ธเนศเห็นว่าคำแถลงข้างต้นมีลักษณะแฝงมายาคติและเข้าใจเรื่องวรรณศิลป์คลาดเคลื่อนอย่างมาก เช่น ข้อเขียนที่ว่า “ความโดดเด่นอันเป็นคุณค่าสำคัญของกวีนิพนธ์เล่มนี้ซึ่งจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การจินตภาพอันงดงามภายใต้ฉันทลักษณ์เรียบง่ายให้ปรากฏอยู่ภายในจิตวิญญาณของผู้เขียนส่งมายังผู้อ่าน” นำคำว่า “จินตภาพ” กับ “ฉันทลักษณ์” มาใช้คู่กัน และยังมี “จิตวิญญาณของผู้อ่าน” ด้วย ทำให้นึกไม่ออกว่า ภายใต้ฉันทลักษณ์เรียบง่ายที่ปรากฏในจิตวิญญาณของผู้อ่านนั้น กวีมีกระบวนการทำงานอย่างไร
“ทุกขณะที่ชำแรกสายตาลงสู่รายละเอียดของเนื้อหาให้รู้สึกมีความสุข เบิกบาน คล้อยตามวรรณศิลป์ที่งดงาม สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง จังหวะ ลีลา และตัวอักษรที่เบาสบายแต่ลึกซึ้งในทุกอณูวลี สามารถสนองคุณค่าทางสุนทรียะได้อย่างสมบูรณ์” “ตัวอักษรที่เบาสบาย” หมายความว่าอย่างไร และเขียนอย่างไร
“บางขณะของฉันทลักษณ์แสดงความอ่อนโยน บางขณะราวปรากฏซุ้มเสียงของสายฝนพรำฉ่ำชื่นกระทบหลังคาส่งมาบาดลึกคลี่ขั้วหัวใจให้ไหวเต้นตาม บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอกยามอรุณรุ่งของเหมันตฤดู บางขณะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ที่เป็นเอกภาพ” ข้อความนี้ต้องการจะกล่าวถึงฉันทลักษณ์และลีลาฉันทลักษณ์ แต่นึกไม่ออกว่าฉันทลักษณ์ที่กล่าวถึงเป็นฉันทลักษณ์แบบใดที่มีลักษณะตามที่ขยายความไว้ว่า “ฉันทลักษณ์แสดงความอ่อนโยน” “ปรากฏซุ้มเสียงของสายฝนพรำฉ่ำชื่นกระทบหลังคา” “ส่งมาบาดลึกคลี่ขั้วหัวใจให้ไหวเต้นตาม” “บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอก” และ “บางขณะอ่อนโยนอ่อนไหวดุจสายหมอกยามอรุณรุ่งของเหมันตฤดู บางขณะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ที่เป็นเอกภาพ” ข้อความที่บรรยายไว้ทำให้เห็นว่า ผู้เขียนแยกไม่ออกระหว่าง สุนทรียอารมณ์ กับ ตัวฉันทลักษณ์ นี่เป็นตัวอย่างของการประเมินค่า
การวิจารณ์จะต้องมีการวิเคราะห์กับตีความ บางทฤษฎีจะพิจารณาเพียงเท่านี้ แต่ในการตัดสินรางวัล อาจารย์ธเนศยืนยันว่าจะต้องประเมินค่าด้วย ซึ่งกรรมการมักจะถกเถียงกันโดยอาศัยการประเมินค่าว่า ดีตรงไหน ดีอย่างไร และจะไม่พูดอะไรที่คลุมเครือเหมือนตัวอย่างของคำแถลงข้างต้น ถ้าเผยแพร่ออกไปกรรมการจะถูกตั้งคำถามอย่างแน่นอนว่า กรรมการอ่านหนังสือเป็นหรือไม่
อาจารย์ธเนศทิ้งท้ายด้วยประเด็นการวิจารณ์ข้ามสื่อไปยังสื่อออนไลน์ เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานโครงการฯ นี้ด้วยว่า สื่อออนไลน์ควรให้การสนับสนุน เพราะมีคนจำนวนมากที่วิจารณ์ผ่านสื่อนี้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่มีความรู้ ขณะเดียวกันผู้ที่มีความรู้ไม่ได้เขียนแล้ว เนื่องจากหมดเวลาไปกับภารกิจการเรียนการสอน การบริหาร การประกันคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัย อาจารย์ธเนศยอมรับว่าแม้จะไม่ค่อยมีเวลาที่จะเขียนวิจารณ์มากนัก แต่ยังเชื่อว่าการวิจารณ์เป็นการฝึกสมอง ยกระดับรสนิยมของตนว่า เราดูละครเรื่องหนึ่งแล้วคิดอย่างไร เราอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งแล้วเราคิดอย่างไร และจะแสดงออกอย่างไร จึงขอบคุณเฟซบุ๊กและขอบคุณสื่อที่สามารถทำให้เขียนได้เร็ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบของบทความที่ต้องรอลงตีพิมพ์ ดังนั้น ถ้าว่างเมื่อดูละครจบเรื่องหนึ่งหรืออ่านหนังสือจบเล่มหนึ่งก็จะเขียนวิจารณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำวิจัยได้ด้วย ฉะนั้นเมื่อมีเวลาว่างก็จะเขียนวิจารณ์สั้นๆ ประมาณ 3 หน้า A4 บันทึกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว 2(ธเนศ เวศร์ภาดา) เผยแพร่
“ค่ายการวิจารณ์ศิลปะ” วันที่ 2 พฤศจิกายน 2556 อิงธารรีสอร์ท จังหวัดนครนายก
น่าสนใจ.