เมื่อนางเอกไม่ยอมแสดงตัวว่าเป็นนางเอก ทุกคนจึงมีโอกาสได้เป็นเอก
เมื่อนางเอกไม่ยอมแสดงตัวว่าเป็นนางเอก ทุกคนจึงมีโอกาสได้เป็นเอก
เจตนา นาควัชระ
คอนเสิร์ต บูชา-อาลัย ๓๓ ปี ครูเอื้อ กับศรวณี โพธิเทศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ณ โรงละครแห่งชาติ จัดได้ว่าเป็นรายการเพลงสุนทราภรณ์ที่ลงตัวที่สุดในรอบทศวรรษ ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเพลงสุนทราภรณ์ และขออนุญาตให้ข้อวินิจฉัยไปโดยไม่มีอคติใดๆ ทั้งสิ้น ในระยะหลังนี้ วงดนตรีสุนทราภรณ์กับนักร้องประจำออกแสดงบ่อยครั้งเกินไปเสียจนเรียกได้ว่าหมดแรง และมาตรฐานก็ตกต่ำลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นที่โรงละครแห่งชาติเมื่อวานนี้ แม้แต่วงดนตรีที่ผมชอบค่อนแคะว่าเล่นเพี้ยนและปราศจากชีวิตชีวา ก็กลับมาสู่มาตรฐานเดิม เทียบได้กับเมื่อครั้งที่พ่อพาผมปีนบันไดตึกกรมโฆษณาการหลังเก่าไปขอฟังการส่งวิทยุกระจายเสียงสด ซึ่งครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นผู้กำกับวงดนตรีกรมโฆษณาการเอง นักวิจารณ์จำเป็นต้องหาคำตอบต่อคำถามที่ตนเองตั้งขึ้นว่าอะไรเกิดขึ้น
รายการนี้เมื่อปีที่แล้ว ศรวณี โพธิเทศ ก็เป็นผู้ริเริ่มขึ้น โดยขออิงกับวงดนตรีสุนทราภรณ์ในฐานะศิษย์สายตรงกลุ่ม “ดาวรุ่งพรุ่งนี้” ของวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ยุคก่อน แต่ถ้าเทียบมาตรฐานกันแล้ว รายการปี ๒๕๕๗ ถือได้ว่าดีเกินคาด ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอาความรู้สึกเข้าวัด และความรู้สึกบอกผมว่า ที่ทุกอย่างลงตัวเพราะศิลปินทั้งหมด ทั้งที่เป็นศิลปินอาชีพและผู้รักสมัครเล่น มาร้องเพลงและเล่นดนตรีด้วยกันด้วยความหฤหรรษ์ ไม่มีความเครียด เหมือนกับเพื่อนฝูงชักชวนกันมาบูชาครู แล้วก็มาสนุกร่วมกันไปด้วย บรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย ถึงจะ “หลุด” กันบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่มีใครติดใจ แต่สิ่งที่สะกิดใจผมก็คือ แม้ศรวณี โพธิเทศ จะปรากฏชื่อติดอยู่กับชื่อของรายการ แต่เธอวางตัวในทำนองที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “low-key” พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ รายการนี้นางเอกไม่ยอมแสดงตัวว่าเป็นเอก ชาวตะวันตกชอบใช้สำนวนว่า “เป็นเอกในฐานะผู้ที่เสมอกัน” (เขียนเป็นภาษาละตินว่า “prima inter pares”) แม้ว่าเธอจะร้องเพลงเดี่ยวและเพลงหมู่ถึง ๘ เพลง แต่ความโดดเด่นของเธอดูจะกลืนหายไปเป็นส่วนหนึ่งของความโดดเด่นของรายการทั้งหมด เราจะต้องไม่ลืมว่า ศรวณี โพธิเทศ เช่นเดียวกับรวงทอง ทองลั่นธม และ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ไม่ได้เกิดและดับไปกับวงสุนทราภรณ์ แต่ได้ออกไปผจญโลกแห่งคีตศิลป์อันกว้างใหญ่ไพศาล มีนักแต่งเพลงระดับแนวหน้าของเมืองไทยอีกหลายท่านที่แต่งเพลงให้เธอร้อง และเธอก็ร้องจนได้รางวัลมาหลายครั้ง พวกคนรุ่นใหม่ที่ชอบดูมิวสิคัล (ซึ่งผมดูบ้างไม่ดูบ้าง โดยเฉพาะมิวสิคัลเพลงสุนทราภรณ์นั้น ผมต้องขอสารภาพว่าทนไม่ไหว) เขาเหล่านั้นย่อมจะชินกับการร้องเพลงแนว “กึ่งอุปรากร” (semi-operatic) ศรวณีมีความสามารถที่จะใช้เสียงในระดับกึ่งอุปรากรได้อย่างแน่นอน และแม้วัยจะล่วงเลยบ่ายคล้อยมามากแล้ว แต่พลังเสียงของเธอก็ยังไม่ตก การร้องแบบกึ่งอุปรากรในประเทศไทยนั้นมาจาก ๒ แนวทาง แนวทางหนึ่งซึ่งเป็นที่ยกย่องกันในปัจจุบันก็คือ การได้รับการฝึกร้องเพลง (voice training) ตามหลักการและเทคนิคของตะวันตก ถ้ารู้จักใช้พื้นฐานนี้ให้ดีก็จะไปได้ไกลมาก (ดังเช่นในกรณีของสุภัทรา โกราษฎร์ ในเพลง “ยามร้าง”) อีกทางหนึ่งคือ การปรับตัวของนักร้องเพลงไทยสากลที่เติบโตมากับวงดนตรีประเภทบิ๊กแบนด์ เช่น วงสุนทราภรณ์ โดยพยายามหาทางสายกลางระหว่างการร้องเปล่งเสียงเต็มแบบตะวันตก กับการสร้างเสน่ห์การเอื้อนที่มีรากฐานมาจากเพลงไทยเดิม ครูเวส สุนทรจามร ค้นพบแนวทางนี้ในตัวของเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี และฝึกเธอไปจนถึงขั้นที่จะออกแสดงได้ โดยที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน ก็พร้อมที่จะแต่งเพลงอันยอดเยี่ยมให้เข้ากับแนวร้องของเธอ ศรวณี โพธิเทศ ยึดนักร้องรุ่นพี่ท่านนี้เป็นครู และอาจเรียกได้ว่า ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการสร้างลีลาแนวตะวันตกประเภทกึ่งอุปรากร ในรายการแสดงครั้งนี้ ศรวณีนำเพลงที่เพ็ญศรีเคยร้องมาออกแสดงอีก ซึ่งผมถือได้ว่าเป็นคุณูปการ เพราะคนกำลังจะลืมเพ็ญศรีกันไปแล้ว แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่า ศรวณีมีบุคลิกภาพที่เป็นตัวของตัวเอง การร้องเพลงเก่าของเพ็ญศรีจึงเป็นการ“ตีความ”ใหม่ เพลง “สุริยาลับฟ้า” โดดเด่นจริงๆ
ผู้ที่ทำให้บรรยากาศเป็นกันเองและชวนหัวก็เห็นจะเป็นเพื่อน (ร่วมรุ่น?) ของศรวณีคือ ฉันทนา กิติยพันธ์ และสุดา ชื่นบาน เพลงสุนทราภรณ์ที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันมีอยู่มากหลาย แม้นักร้องสุนทราภรณ์เองก็ดูจะยังกล้าๆ กลัวๆ กับการนำอารมณ์ขันนี้ออกมาแสดงอย่างเต็มรูป เพื่อนรักของคุณศรวณีสองคนนี้ตีความเพลงสุนทราภรณ์ได้ถึงใจจริงๆ ทั้งในแง่ความรื่นเริง ความเบิกบาน ความมีชีวิตชีวา และความเร้าใจ นานๆ ครั้งจะได้ยินเพลงสุนทราภรณ์ที่เผยศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้ ทั้งในเพลงที่เธอทั้งสองร้องเดี่ยว และทั้งเพลงที่สามเพื่อนรักร้องร่วมกัน ผมสังเกตได้ว่า แขกรับเชิญสองคนนี้เป็นตัวจักรสำคัญที่ปลุกให้วงดนตรีสุนทราภรณ์มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมและน่าทึ่ง
เมื่อนางเอกเปิดเวทีให้ทุกคนเป็นเอก นักร้องคนอื่นก็ใช้โอกาสนี้ได้อย่างสะดวกใจ กลุ่มนักร้องที่ผมจะกล่าวถึงเป็นอันดับแรก คือนักร้องกิตติมศักดิ์ ซึ่งมาร่วมรายการถึง ๑๔ คน เป็นที่น่าประหลาดใจว่า มาตรฐานของผู้รักสมัครเล่นเหล่านี้ดีกว่าการแสดงครั้งก่อนๆ ที่ผมได้เคยฟังมา เพลงที่ร้องร่วมกัน เช่น “เมื่อฝนโปรย” ก็จัดได้ว่าน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง สอดรับกันระหว่างชายกับหญิง ส่งไม้ต่อกันจากคู่หนึ่งไปอีกคู่หนึ่งได้อย่างเนียนมากๆ อาจจะไม่เป็นการยุติธรรมถ้าผมเอ่ยชื่อท่านเหล่านั้นไม่ครบทุกท่าน แต่ก็อยากจะขออนุญาตยกตัวอย่าง นักร้องสมัครเล่นมักจะขึ้นเวทีด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ฝึกซ้อมร้องมาอย่างดี ไม่มีการหลุดเพราะจำเนื้อเพลงไม่ได้ และก็ได้รับการฝึกฝนมาถึงขั้นที่มีความมั่นใจพอที่จะไม่ตื่นเวที เพลง “วิมานสีชมพู” ที่คุณสุนทรี เตรยาภรณ์ เป็นผู้ขับร้อง เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก เธอร้องแบบตรงไปตรงมา ไม่มีจริตจะก้าน ยิ่งตรงเท่าไรก็ยิ่งเข้าถึงวิญญาณของเพลง ปรากฏการณ์ล่าสุดของวงดนตรีสุนทราภรณ์ก็คือ เส้นพรมแดนระหว่างนักร้องสมัครเล่นกับนักร้องอาชีพกำลังจะเลือนหายไป นักร้องรุ่นใหม่ที่ฝ่ายจัดการขนานนามว่า “คลื่นลูกใหม่” นั้นก็อาจจะยังรักษาความสดใหม่ของความเป็นนักร้องสมัครเล่นเอาไว้ได้ ในขณะที่ความจัดเจนในการร้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะเข้าระดับของนักร้องอาชีพแล้ว และก็คนกลุ่มนี้อีกนั่นแหละที่ทำให้วงการเพลงสุนทราภรณ์คึกคักขึ้นมากในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเขาเรียนรู้จากนักร้องรุ่นเก่าได้อย่างรวดเร็ว สังเกตได้จากการร้องเพลงคู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นการแสดงมากกว่านักร้องต้นแบบของสุนทราภรณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ “รักไม่เป็น” (ซึ่งนันทพร ค้าผล และ ชาตรี ชุ่มจิตร เป็นผู้ขับร้อง) และ “งอนแต่งาม” (ซึ่งนันทพร ค้าผล และ บัญชา รักษาจันทร์ เป็นผู้ขับร้อง) ผมเดาเอาว่าฉันทนาและสุดา ที่ได้ออกแสดงไปก่อน “คลื่นลูกใหม่” กลุ่มนี้ ได้ถางทางให้นักร้องรุ่นหลานเป็นอย่างดีแล้วว่า ร้องเพลงเร็วอย่างไรจึงจะได้รสที่เหมาะเจาะและเปี่ยมด้วยรสนิยม รายการแสดงครั้งนี้สร้างความอุ่นใจให้กับแฟนพันธุ์แท้อย่างผมว่า การเรียนรู้ระหว่างคนรุ่นพี่ (หรือรุ่นป้า) กับคนรุ่นน้อง (หรือรุ่นหลาน) เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการอันเป็นธรรมชาติ ถ้าคนรุ่นใหม่ใส่ใจที่จะแสวงหาและสร้างประสบการณ์ให้แก่ตนเอง โดยมิใช่เป็นการเลียนแบบนักร้องรุ่นเก่าดังที่ทำกันมาแม้แต่ในวงในของสุนทราภรณ์เอง
ตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่คิดใหม่ได้โดดเด่นที่สุดในรายการแสดงดนตรีครั้งนี้ คือการร้องเพลง “ใครจะรักเธอจริง” ของวิรัช ศรีพงษ์ เพลงนี้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ได้ร้องไว้เป็นต้นแบบ และนักร้องรุ่นหลังๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นลูกหรือรุ่นหลานก็ไม่มีใครกล้าที่จะฉีกแนวออกมาจากต้นแบบที่ท่านสร้างไว้ วิธีการร้องของครูเอื้อนั้นมีสัญชาตญาณของคีตศิลปินผู้ยิ่งใหญ่กำกับอยู่ ดูประหนึ่งว่าแทบไม่มีความจำเป็นจะต้องวิเคราะห์เพลงในด้านใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเมื่อท่านเป็นผู้แต่งทำนองเอง และผู้แต่งคำร้องคือ สมศักดิ์ เทพานนท์ ก็คือคนกันเองในวงของท่าน ท่านจึงร้องเพลงนี้ด้วยความมั่นใจโดยการเกาะมโนทัศน์ (concept) หลักเอาไว้ และไม่ใส่ใจกับรายละเอียดมากนัก คงจะไม่มีใครที่จะพรรณนามโนทัศน์ที่ว่านี้ได้ดีกว่าศรีภรรยาของท่านเอง ซึ่งครั้งหนึ่งกล่าวกับผมเป็นการส่วนตัวว่านี่คือ “เพลงของคนเจ้าชู้” วิรัช ศรีพงษ์ รู้ตัวดีว่าจะไปทาบบารมีกับปรมาจารย์ไม่ได้ จึงต้องหาทางออกใหม่ และการที่ได้มีโอกาสไปเล่าเรียนระดับบัณฑิตศึกษามาจากยุโรปก็คงจะเป็นโอกาสที่ได้ฝึกการคิดวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี ผมเดาเอาว่า เขาได้ “ครุ่นคิดพินิจนึก” เกี่ยวกับแก่นของเพลงนี้มาแล้ว การร้องของเขามีการแบ่งวรรคตอนทั้งในทางวรรณศิลป์และคีตศิลป์ได้อย่างลงตัวยิ่ง มีการเสริมความไพเราะด้วยการเปล่งคีตวลี (phrasing) ที่เข้ากับเพลง เขาร้องเพลงนี้แบบเอาจริงเอาจัง แต่ก็ไม่เน้นย้ำจนเกินงาม มันไม่ใช่เพลงของคนเจ้าชู้ แต่เป็นเพลงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องการจะบอกกับผู้ฟังผู้ชมว่า คนเจ้าชู้มีอยู่บนผืนโลกนี้จริง วิธีการของเขาชวนให้น่าเชื่อถือ ผมไม่จำเป็นต้องบอกว่า ลูกครึ่งฝรั่งเศสคนนี้เอื้อนลีลาแบบไทยได้ไพเราะยิ่งนัก มารดาชาวฝรั่งเศสของเขาเคยพูดกับผมว่า “เมื่อลูกฉันเติบโตมาในเมืองไทย เขาก็ต้องเป็นไทยให้สุดทาง ถ้าเขาเติบโตในเมืองฝรั่ง เขาก็ต้องเป็นฝรั่งให้สุดทางเช่นกัน” วิรัชเคยฝึกการเล่นโขนมาแล้วอย่างจริงจัง ผมคิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่โดดเด่นที่สุดในรายการแสดงครั้งนี้ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า การตีความคืออะไร
ถ้าจะไม่เอ่ยถึงนักร้องประจำวงสุนทราภรณ์บ้างก็คงจะไม่เป็นการยุติธรรมนัก เพราะเขาเหล่านั้นคือผู้ที่สร้างความต่อเนื่องของเอกลักษณ์แห่งเพลงสุนทราภรณ์เอาไว้ เจือนศักดิ์ น้อยสุวรรณ ร้องเพลง “ยอดดวงใจ” ด้วยมาตรฐานที่เราคาดหวังได้จากนักร้องอาชีพ และ พรศุลี วิชเวช ก็ใช้เวทีนี้เล่าประวัติความเป็นมาของการที่ครูเอื้อฝึกเธอให้ร้องเพลง “วาสนากระต่าย” ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมาก เพราะเท่ากับเป็นวิถีแห่งคีตศิลป์ที่ทอดผ่านจากเพลงไทยเดิมมาสู่เพลงไทยสากล และครูเอื้อเองเป็นผู้ที่ร้องอัดเสียงเป็นต้นแบบเอาไว้ ผมเคยถามครูเอื้อหลังจากที่ได้ฟังพรศุลีร้องเพลง “บัวงาม” ทางโทรทัศน์ช่องเจ็ดสี เมื่อหลายสิบปีมาแล้วว่า ท่านคิดว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร ครูเอื้อไม่ชอบยกให้ใครเหลิง จึงตอบมาด้วยถ้อยคำที่ต่ำกว่าระดับของความ (understatement) ว่า “เขาร้องดี” แค่นั้นผมก็ทราบแล้วว่าคะแนนคือเกรดเอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ นักเรียนเกรดเอก็ยังรักษาระดับของเธอเอาไว้ได้
เมื่อเอ่ยถึงโรงละครแห่งชาติก็จำต้องกล่าวถึงเจ้าของบ้านสองท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารระดับอาวุโสแล้วในเรื่องของนาฏศิลป์และคีตศิลป์ไทย คือ ศุภชัย จันทร์สุวรรณ และ ปกรณ์ พรพิสุทธิ์ ท่านทั้งสองร้องเพลงสุนทราภรณ์มาอย่างต่อเนื่อง ผมอยากจะกล่าวว่า คลังความรู้และความจัดเจนจากดนตรีไทยใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด เป็นอันว่าหน่วยงานที่ชื่อศิลปากรในปัจจุบันออกมาอ้าแขนรับผลงานของศิลปากรเก่าฝ่ายดนตรีสากล ซึ่งเมื่อปี ๒๔๘๒ อำลาวงดนตรีคลาสสิกของกรมศิลปากร เพื่อไปสร้างอาณาจักรใหม่อีกฝั่งหนึ่งของคลองหลอด คือที่กรมโฆษณาการเก่า และผลิตผลที่เกิดขึ้นจากเพลงไทยสากลของนักดนตรีกลุ่มนี้ก็ได้กลายมาเป็นมรดกของชาติไปแล้ว
ฟังแล้วก็ชื่นใจ พูดแล้วก็สบายใจ เขียนแล้วก็อิ่มเอิบใจ ก็เพียงแต่จะตั้งความหวังเอาไว้ว่า ขอให้รักษามาตรฐานของการแสดงในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ เอาไว้ให้ได้ คนที่เก่งจริง คือ คนที่สามารถปรับ “ข้อยกเว้น” ให้เป็น “กฎเกณฑ์”
๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗