ดนตรีคลาสสิกตะวันตกก็มีการไหว้ครูเช่นกัน

ดนตรีคลาสสิกตะวันตกก็มีการไหว้ครูเช่นกัน

picture

(ภาพจาก facebook Kesorn Jittawait)

เจตนา นาควัชระ

 

          รายการแสดงดนตรีในคืนวันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2558 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีชื่อว่า “Our Tribute” ผู้จัดงานคือ ดร. นภนันท์  จันทร์อรทัยกุล  นักเปียโนและครูเปียโนระดับหัวแถวของเราผู้มีความคิดที่ไกลไปกว่าการให้โอกาสคนรุ่นหนุ่มสาวได้ออกมาแสดงฝีมือ (ที่ไม่ธรรมดา) ให้ปรากฏต่อสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง  เธอต้องการจะ “ไหว้ครู” เปียโนหลายรุ่นที่ถางทางให้เกิดนักดนตรีที่มีคุณภาพในวันนี้ได้  ในการแนะนำรายการ ดร. นภนันท์ ลำดับให้เราฟังถึงนักเปียโนรุ่นแรก เช่น คุณหญิงมาลัยวัลย์  บุณยะรัตเวช และอาจารย์ปิยะพันธ์  สนิทวงศ์ ที่แสวงหาความรู้เท่าที่จะหาได้ในประเทศไทย  แล้วบากบั่นไปศึกษาต่อในสถาบันดนตรีชั้นนำในประเทศตะวันตก เมื่อกลับบ้าน  นอกจากแสดงดนตรีแล้วก็ยังบ่มเพาะศิษย์รุ่นต่อไป เช่น อาจารย์ณัฐ  ยนตรรักษ์  และอาจารย์ธงสรวง  อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งก็ไปต่อยอดในโลกตะวันตกอีก แล้วกลับมาสร้างศิษย์รุ่น ดร. นภนันท์เองที่เป็นช่วง (generation)ที่สาม  และหลังจากที่นักเปียโนรุ่นนี้ประสบความสำเร็จถึงขั้นที่ได้ไปศึกษาขั้นปริญญาเอกด้านการแสดงในประเทศเจ้าของวัฒนธรรมมาแล้วหลายคน  ก็กลับมาสอนนักดนตรีรุ่นที่ 4 ซึ่งหลายๆ คนในกลุ่ม Made in Thailand เหล่านี้ฝีมือฉกาจฉกรรจ์นัก  จนผู้ฟังทั่วไปแยกไม่ออกเลยว่าใครเคยไปชุบตัวในโลกตะวันตกมาแล้วหรือไม่

ผมเข้าใจดีว่าที่ ดร. นภนันท์ให้อรรถาธิบายถึงการสืบสกุล (genealogy) ของนักเปียโนไทยมาเช่นนี้  ไม่ใช่เป็นการยกย่องตัวเอง  แต่ต้องการจะตอกย้ำถึงบทบาทของครู  และในฝ่ายของศิษย์ก็น่าที่จะภาคภูมิใจได้ว่า “เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้างฯ”  ผมจึงพร้อมที่จะตั้งชื่องาน “Our Tribute” เป็นภาษาไทยว่า “คุรุบูชา” จริงอยู่อาจารย์นภนันท์และคณะไม่มีขนบที่เป็นพิธีกรรมที่จะอิงได้เช่นการไหว้ครูดนตรีไทย  แต่เธอก็โชคดีมากที่สามารถเชิญปรมาจารย์รุ่นแรกมาขึ้นเวทีให้ผู้คน “บูชาครู”ได้  แม้ว่าบางท่านจะมีวัยล่วงมาถึงเลขแปดแล้ว  ในตอนท้ายรายการ ดร.สายสุรี  จุติกุล  ได้กล่าวความในใจของเธอออกมา  ซึ่งพวกเราที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั่นคงจะจดจำไปอย่างไม่มีวันลืม  “ดิฉันไม่เคยคิดว่า  ในชีวิตของดิฉันจะได้เห็นนักดนตรีรุ่นเยาว์ของไทยจะแสดงได้ดีถึงเพียงนี้”  ผมเองก็คิดเช่นเดียวกับเธอ และก็คิดเลยไปถึงครูดนตรีในสาขาอื่นๆ   ล่าสุดได้ข่าวมาว่านักดนตรีไทยซึ่งเป็นหัวหน้าวงสตริงควอร์เตท ได้ไปชนะเลิศการแข่งขันระดับชาติที่สหรัฐอเมริกา  โดยที่ครูชาวไทยของเขาเองทำได้เพียงแค่เข้ารอบรองชนะเลิศเท่านั้นเมื่อ 20 ปีมาแล้ว  เรารู้ดีว่าครูเหล่านั้นดีใจเพียงใดที่ “ลูกศิษย์เก่งกว่าครู”  นี่แหละคือวัฒนธรรมไทยที่แท้จริง  ในทางกลับกัน  ไม่มีหรอกที่ศิษย์ที่ดีจะมองไม่เห็นหัวครู  ดร. นภนันท์จัดงานครั้งนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งนัก การบูชาครู  แปลว่าสำนึกดีว่าความต่อเนื่องคืออะไร  ถ้าฐานไม่ดีจะไปได้ไกลสักเพียงไหน  ที่เด็กของเราแสดงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะรากฐานที่ครูให้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน  แต่ยุคทองไม่ได้อยู่ในอดีต  ยุคทองอยู่กับอนาคต  เราจะต้องมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง

และอะไรเล่าที่จะเป็นตัวประกันความหวังให้แก่เรา  คำตอบก็คือ การแสดงดนตรีนั่นเอง  ผมได้เคยเขียนถึงการแสดงที่อาจารย์นภนันท์จัดขึ้นเมื่อปี 2556 ไปแล้วในบทความภาษาอังกฤษชื่อ “The School of Nopanand: An Academy outside Academia” (รวมพิมพ์ไว้ในหนังสือของผมชื่อ Bridging Cultural Divides, 2014, หน้า 448-452)  ในครั้งนั้นนักเปียโนแสดงร่วมกับวงดนตรีขนาดเล็ก  และมีการเรียบเรียงดนตรีขึ้นใหม่เพื่อให้คอนแชร์โตหลายบทบรรเลงกับวงดนตรีขนาดเล็กได้  ซึ่งผมก็ได้แสดงความชื่นชมไว้ด้วยความจริงใจ  มาครั้งนี้พวกเขารวมตัวกันมาไหว้ครู  จึงต้องจัดงานในรูปแบบที่ให้นักดนตรีจำนวนมากได้ขึ้นเวทีเพื่อร่วมบูชาครู  นับแล้วได้นักเปียโน 16 คน  มีนักไวโอลินและนักเชลโลมาร่วมแสดงด้วยในรูปของ sonata และ piano trio  ซึ่งการที่ให้โอกาสกับ chamber music บ้าง  ที่มิใช่การแสดงเดี่ยวเปียโน  นับเป็นปรากฏการณ์ที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับวงการดนตรีคลาสสิกของบ้านเรา  ซึ่งกำลังจะเข้าใจผิดว่า  ดนตรีที่โดดเด่นที่สุดของตะวันตกคือดนตรีสำหรับวงซิมโฟนี

สิ่งที่ผมสังเกตได้เกี่ยวกับตัวนักดนตรีเอง (ซึ่งเรียกได้ว่ามีตั้งแต่รุ่นเด็กไปจนถึงรุ่นหนุ่มสาว)  ก็คือ ความจัดเจนในด้านเทคนิค  ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องไมได้จากนักดนตรีทุกคน  หรือแม้จากตัวครูเอง  แต่ปัจจุบัน พรสวรรค์ได้รับการเสริมจากพรแสวง  คือครูมีความสามารถที่จะสอนเทคนิคเปียโนในระดับสูงได้และศิษย์ก็รับได้ตั้งแต่เยาว์วัย  เรื่องเทคนิคเป็นปัจจัยที่สำคัญ  เพราะหาไม่จะไปต่อยอดอย่างไรในด้านของการจับแนวการเล่น (style) ของคีตกวีและเอกลักษณ์ของยุคต่างๆ  และในขั้นสูงสุดก็คือขั้นของการตีความ (interpretation)  ผมต้องยอมรับว่าทึ่งกับความหลากหลายขององค์แห่งคีตนิพนธ์ (repertoire) ที่นำเสนอในครั้งนี้  พอโปรแกรมเริ่มด้วย Scarlatti ผมก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า  ผมเคยไปอ่านอัตชีวประวัติของนักเปียโนชาวอังกฤษผู้หนึ่งที่เคยไปเรียนเปียโนกับ Johannes Brahms และคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้สอนให้เธอเล่นผลงานของ Scarlatti ซึ่งเราท่านก็คงจะแปลกใจว่างานของ Brahms กับงานของ Scarlatti ดูจะอยู่ห่างไกลกันมากทีเดียว  คีตกวีบางคนผมไม่ได้รู้จักมาก่อนเลยเช่น R. Muszynski ได้ฟังเป็นครั้งแรกรู้สึกน่าสนใจมาก  Chopin มา 4 ครั้ง ซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับวงการไทย  เพราะมีการประกวด Chopin Competition อยู่แล้วเป็นประจำ  (ซึ่งอาจารย์นภนันท์เองก็ได้รับรางวัลชนะเลิศมาแล้วตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม)  พูดถึงเรื่องการประกวดแล้วได้ความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง  นั่นก็คือ  สังเกตได้ว่านักดนตรีรุ่นเยาว์ของเราขึ้นเวทีโดยไม่มีความประหม่าหรือตื่นเวทีเลย  คงประกวดมาบ่อยครั้งเสียจนสุกงอมแล้ว  ผมว่าครูเองบางคนอาจจะยังตื่นเวทีเสียด้วยซ้ำ เมื่อต้องออกแสดงด้วยตนเอง ผมอ่านประวัติของนักดนตรีแต่ละคนแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ว่าชนะรางวัลกันมาแล้ว  บางคนได้มาหลายรางวัลเสียด้วยซ้ำ  ซึ่งผมก็แยกไม่ออกว่าการประกวดครั้งไหนมีเกียรติภูมิสูงกว่าการประกวดครั้งอื่นๆ หรือไม่  เรื่องความมั่นใจในตนเองเป็นสิ่งที่ดี  แต่ก็มีในบางครั้งที่นักดนตรีแสดงความมั่นใจนั้นออกมาเชิงกายภาพ  เช่น ถ้ามือซ้ายว่าง  ยังไม่ถึงตอนที่จะเล่นก็เลยแถมนาฏศิลป์ไทยเข้าไปให้ชมเสียเลย  การแสดงลีลาท่าทีบนเวที (platform manners) นั้น  รสนิยมจะเป็นตัวกำกับว่า แค่ไหนจึงพองาม  นักเปียโนระดับแนวหน้าของโลก 2 คน คือ Mikhaïl Pletnev และ Chrystian Zimerman ที่มาแสดงในประเทศไทยและสร้างความประทับใจให้ผมและผู้รักดนตรีคลาสสิกอย่างสุดๆ ดูจะซ่อนลีลาท่าทีเอาไว้ข้างใน  ไม่แสดงออกให้เราเห็นด้วยตา  แต่เล่นให้กระทบใจเราจริงๆ  เรื่องเล็กๆ เหล่านี้เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องให้การแนะนำด้วย  มิใช่สอนดนตรีแต่อย่างเดียว

อีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องกล่าวถึงคือ  ความสัมพันธ์ระหว่างวุฒิภาวะของงาน กับวุฒิภาวะของนักดนตรี  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง  เพราะผลงานที่นำออกแสดงในคืนวันที่ 3 กรกฎาคมนั้น  ผู้แต่งมิได้แต่งไว้ให้ “เด็ก” เล่น ถ้าเป็นงานที่ตัวเองเล่น  ก็คงจะเลยวัยเด็กและวัยรุ่นไปแล้ว  ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับความสามารถในทางดนตรีเลย  แต่เป็นเรื่องของวุฒิภาวะในทางอารมณ์และในทางปัญญา  สาวน้อยที่เล่น Debussy เลือกเพลงที่เหมาะกับความสามารถของเธอมาก  จึงฟังแล้วสบายใจและประทับใจ  แต่เมื่อสาวน้อยอีกคนหนึ่งเล่น “Appasionata” ของ Beethoven  ผมก็เห็นใจเธอเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งนี้มิใช่เรื่องข้อบกพร่องในทางเทคนิค แต่นี่มันภูเขาหิมาลัยในด้านการตีความเลย  อาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพัก แล้วค่อยลองใหม่  ครูบาอาจารย์ควรจะให้คำแนะนำในเรื่องของการเลือกงานมาแสดงด้วย  ผมพยายามไม่เอ่ยชื่อนักแสดง  เพราะมีจำนวนมาก  ถึงจะเอ่ยก็ไม่ครบ  และก็จะดูประหนึ่งเป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง  แต่อาจารย์นภนันท์ถามผมทางโทรศัพท์ว่าผมชอบนักเปียโนคนไหนมากที่สุด  ผมก็ไม่ลังเลที่จะให้คำตอบว่า คนที่เล่นเปียโนคลอไวโอลิน Violin Sonata No. 1 in  A Major ของ Gabriel Fauré  เขาเป็นหนึ่งในบรรดานักเปียโนกลุ่มนี้ที่เข้าใจว่าลีลา (style) คืออะไร และวลี (phrase) คืออะไร  เขาเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก และผมเดาเอาว่า Fauré  เองก็คงจะถนัดเขียนงานสำหรับเปียโนมากกว่าไวโอลิน  Fauré เขียนบทให้ไวโอลินราวกับเป็นข้อสอบ  เต็มไปด้วยคู่แปดที่ลากขึ้นลากลงตลอดเวลา  ผมว่านักไวโอลินสอบผ่าน  แต่คงไม่มีเวลาจะไปจับวิญญาณของตัวงาน  ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี  รายการจบลงด้วย Piano Trio No. 2 in C minor ของ Mendelssohn โดยผู้เล่นเปียโนเป็นนักดนตรีชาวไทย  ส่วนนักไวโอลินมาจากสิงคโปร์ และนักเชลโลมาจากไต้หวัน  กลุ่มเชมเบอร์นี้มีโอกาสเล่นแต่เพียงกระบวนแรก คือ Allegro energico e confuoco  ซึ่งพวกเขาเล่นแบบถึงใจพระเดชพระคุณเป็นอย่างยิ่ง  แต่ถ้าได้มีโอกาสไปเห็นสถานที่ที่  Mendelssohn จัดคอนเสิร์ตในเช้าวันอาทิตย์ที่ห้องดนตรีที่บ้านของเขาที่เมือง Leipzig แล้ว พวกเขาอาจจะปรับวิธีการเล่นเสียใหม่ก็ได้  โดยที่ยังรักษาบทกำกับที่เขียนเป็นภาษาอิตาเลียนไว้ได้  นักดนตรีอีกคนหนึ่งที่ฉายแววว่าจะไปได้ไกลคือ ผู้เดี่ยวเชลโล ใน Cello Sonata in G minor ของ Rachmaninov ผมรีบเปิดสูจิบัตรอ่านประวัติของเขาว่าจบมาจากอเมริกาหรือยุโรป  แต่ก็ปรากฏว่าเขา Made in Thailand แท้ๆ  แม้จะได้ไปทัวร์ในต่างประเทศมาแล้ว

ขอกลับมาที่เรื่องการเรียนการสอนเปียโนในประเทศไทย  ในบทความภาษาอังกฤษของผมที่กล่าวถึงข้างต้น  ผมได้เล่าถึงประวัติของ Johannes Brahms  ว่าเป็นผู้ที่มาจากครอบครัวที่ยากจน  ไม่มีเปียโนที่บ้าน  แต่มีเพื่อนบ้านที่ประเสริฐ  ผู้ซึ่งอนุญาตให้เด็กชาย Johannes ไปซ้อมเปียโนที่บ้านเขาได้  ครูที่สอนทั้งเปียโนและทั้งการประพันธ์เพลงให้เขาก็สอนให้ฟรีตลอด  จนเขาเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นทั้งนักเปียโนและนักแต่งเพลงระดับแนวหน้าของยุโรป  ผมตั้งคำถามในบทความนั้นเอาไว้  ซึ่งผมก็จำจะต้องนำมาถามซ้ำอีก  ความมีอยู่ว่า

“ถ้ามีเด็กอัจฉริยะเกิดมาที่คลองเตยในศตวรรษที่ 21  เขาจะมีโอกาสได้เรียนกับ ดร. นภนันท์  จันทร์อรทัยกุล หรือไม่”

ผมว่าวงการดนตรีคลาสสิกในบ้านเราต้องคิดถึงเรื่องของการให้โอกาสและการเปิดโอกาสให้แก่เยาวชนที่มีพรสวรรค์ได้เล่าเรียนกับครูที่ดีที่สุด  คงจะไม่ใช่เรื่องของการเอื้อเฟื้อกันเป็นการส่วนตัว  แต่เป็นเรื่องของการจัดการ และของการสร้างนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรม  ครูดนตรีในสาขาอื่นๆ ได้ลงแรงไปควานหาช้างเผือกในถิ่นที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาได้บ้างแล้ว  สถาบันบางแห่งเกื้อหนุนให้เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งวงดนตรีคลาสสิกตะวันตกเล็กๆ ขึ้นมาได้  ขณะนี้ใครๆ ก็ไปดูงานกันที่ประเทศ Venezuela ซึ่งใช้ดนตรีคลาสสิกเป็นเครื่องมือในการหล่อหลอมเยาวชนให้รักศิลปะและกลายเป็นพลเมืองดีไปด้วยในตัว  วงดนตรีเยาวชนของเขาออกแสดงไปทั่วโลก อาจจะเป็นวงเยาวชนหมายเลข 1 ของโลกก็ได้  ขบวนการ El Sistema ออกไปเก็บเด็กสลัมมาเล่นดนตรี  ก่อนที่ยาเสพติดจะมาฉกตัวพวกเขาไป  พระสงฆ์ที่วัดแถวๆ คลองเตยก็ทำเช่นเดียวกัน  โดยชักนำเด็กสลัมให้มาฝึกปี่พาทย์  เรามีครูเปียโนที่มีความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก  ท่านเหล่านั้นจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านแล้วสอนพิเศษอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรือ

แล้วเรื่องการแสดงเล่า  จะว่าอย่างไร  ครูที่ไปร่ำเรียนมาจนจบปริญญาชั้นสูงในสถาบันอันดับต้นๆ ของโลกตะวันตกแทบจะไม่ออกแสดงเลย  ไม่ช้าไม่นานก็เรื้อเวที  ผมไม่พูดถึงวงซิมโฟนีที่มีอยู่ว่าเขาจะเปิดทางให้มากน้อยเพียงใด  แต่เพียงแค่รายการแสดงเดี่ยว  ถ้าจัดได้เป็นประจำโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกแสดง  ก็จะเป็นการสร้างคุณูปการให้แก่วงการดนตรีของไทยเป็นอย่างมาก  ดนตรีคลาสสิกตะวันตกมิใช่สมบัติของโลกตะวันตกอีกต่อไป  แต่ได้กลายเป็นสมบัติของโลกไปแล้ว  รายการ “Our Tribute” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในแง่มุมของผู้แสดง  ขั้นต่อไปก็คือการใช้ดนตรีในการสร้างมหาชนให้เข้าถึงสุนทรียรสของดนตรี  ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศที่ยากจน เช่น Venezuela เชื่อเช่นนั้น แล้วออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางต่อเนื่องมา  30 ปีแล้ว  ประเทศฟิลิปปินส์ก็มี “กฎหมายดนตรี” (Music Law)  ที่สนับสนุนให้นักเรียนทุกคนได้มีโอกาสเรียนดนตรีหรือร้องเพลง  เราไม่ใช่ชาติที่หูบอดอย่างแน่นอน  เราอาจจะขาดวิสัยทัศน์และความกล้าในระดับนโยบายและในระดับปฏิบัติ  ไหว้ครูแล้วโปรดอย่าหยุดตรงนั้น  ขอให้ถางทางไปสู่สภาวะอันเป็นอุดมคติให้ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *