The Return of Wanthong : เมื่อวันทองตาย..ทำไมต้องกลายเป็นเปรต
The Return of Wanthong : เมื่อวันทองตาย..ทำไมต้องกลายเป็นเปรต
อภิรักษ์ ชัยปัญหา
แม่รักลูก..ลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน…จะกินนอนวอนว่าเมตตาตื่น…จะจากเรือนร้างแม่..ไปแต่ตัว
ใคร ๆ ก็รักวรรคทองบทนี้จากเสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน”…รวมทั้งผมด้วย
วรรคทองที่ว่า มาจากตอนที่สองแม่-ลูก วันทองกับพลายงามต้องจากกัน เพราะขุนช้างรู้แล้วว่าพลายงามไม่ใช่ลูกของตน (รู้ช้าจัง แค่ชื่อ “พลาย” ก็น่าจะรู้แล้วว่า ลูกของพลายแก้ว หรือ ขุนแผน” ) เลยลวงไปฆ่าทิ้งเสียในป่า..เดชะบุญโหงพราย ไปเตือนนางวันทองให้รู้ และมาช่วยบังเอาไว้ พลายงามเลยรอดมาได้ โดนที่ขุนช้างไม่รู้ นางวันทองตัดสินใจให้ลูกหนีไปอยู่กับนางทองประศรีแม่ของขุนแผน (ขุนแผนติดคุกอยู่) โดยต้องเดินเท้าข้ามจังหวัดไปกาญจนบุรีเพียงลำพังทั้ง ๆ ที่ยังเป็นเด็กชาย….และนั่นคือที่มาของฉากสะเทือนอารมณ์ที่สุดอีกฉากหนึ่งของเสภาบทนี้ และเป็นที่มาของวรรคทองข้างต้น
นอกจากความรักสามเส้า ของขุนช้าง ขุนแผน และ นางวันทองแล้ว ความรักของนางวันทองกับลูกชายคนเดียวของเธอก็เป็นอีกเส้นเรื่องสำคัญของเสภาเรื่องนี้ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้อ่านหรือฟัง ประดิษฐ ประสาททอง
ศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดงคนแรก ได้จับเอาเรื่องราวของ พลายงาม ที่ต่อมาเติบโตเป็นทหารกล้าชื่อ จมื่นไวยวรนาท ที่ได้มาพบกันครั้งสุดท้ายกับแม่ของตนเอง หลังจากที่เธอโดนตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว และนำมาเป็นเนื้อเรื่องหลักของละครร่วมสมัยเรื่องนี้ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอก…วันทองตายแล้วตอนที่มาพบพระไวยฯ ครั้งสุดท้าย
ในต้นฉบับของขุนช้างขุนแผน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งชำระโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวว่า นางวันทอง หลังจากตายไปแล้ว ก็ไม่ยอมไปไหน แต่กลายเป็นเปรต และครั้งสุดท้ายที่นางมาพบลูกชาย ก็เพราะห่วงที่ลูกชายกำลังจะไปรบตามคำสั่งของพระพันวษา เลยมาห้ามทัพไว้
ในเวอร์ชั่นละคร ซึ่งใช้เพียงเวทีที่ยกพื้นทรงสี่เหลี่ยมตรงกลาง คนดูนั่งรายล้อม และใช้นักแสดงเพียงสามคน แต่เล่น 4 บทบาท คือ คือ จมื่นไวยฯในวันหนุ่ม (สุขุมพันธ์ ธิติพันธ์) จมื่นไวย ฯ ในอีก 25 ปี ต่อมา (ประดิษฐ ประสาททอง) พระพันวษาและ นางวันทอง (สองบทหลังแสดงโดย ดวงใจ หิรัญศรี) กับการเล่นดนตรีสดผสานกับดนตรีแห้ง ได้สร้างเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในเสภา ว่าหลังจากพบกันครั้งนั้น พระไวยก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะกังวลที่แม่เป็นเปรต (ครั้งแรกเขาพบเธอในฐานะนางฟ้า พอรู้ว่าเป็นแม่ของตน นางก็กลายเป็นเปรต) เขาคิดว่าที่แม่ไม่ไปไหน เพราะแม่ไม่ให้อภัยตนเองที่กลับมาช่วยชีวิตแม่ไว้ไม่ทัน
ท่ามกลางบทสนทนาที่ใช้ภาษาระดับวรรณศิลป์ สลับกับการขับร้องเพลงไทยเดิมอันแสนไพเราะ ละครพยายามให้วันทองบอกลูกชายว่า การที่เธอถูกคนอื่น ๆ มองว่าเป็น “เปรต” นั้น ไม่สำคัญมากเท่ากับที่ลูกชายคนเดียวของนางก็เห็นว่าเธอเป็น “เปรต” ด้วย ซึ่งจมื่นไวย ฯ ก็แย้งว่า เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ก็เพราะ “ค่านิยม” และ “ขนบ” ที่ตนยึดถือ
นางวันทอง ไม่ได้โกรธลูกชายที่กลับมาช่วยแม่ไม่ทัน แต่นางวันทองแค่อยากรู้ว่า ลูกของเธอเห็นว่าแม่ของตัว “เลวร้ายเป็นอสูรกาย” เช่นเดียวกับที่ พระพันวษาว่าไว้ จนคนอื่นๆ ต่างก็พลอยเห็นด้วยกันไปหมดหรือไม่…เมื่อลูกชาย ตอบถ้อยสุนทรที่ผมยกมาไว้ตอนต้น นางวันทองก็ถึงกับบอกว่า “ไปจำใครเขามา” และขอให้จมื่นไวย ฯ เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปทูลขอชีวิตให้นางวันทองกับพระพันวษานั้น เขาพูดถึงนางว่าอย่างไร….แน่นอน พระไวยบอกว่าแม่ตัวเองเลวอย่างที่ใคร ๆ เขาว่ากัน
จากประเด็นนี้ นับว่าเป็นมุมมองที่ฉลาดมากของประดิษฐ เพราะเขาใช้เรื่องราวของสองแม่ลูกนี้ วิพากษ์สังคมไทยทั้งระบบ ได้อย่างแยบยล การเลือกให้นักแสดงหญิงที่เล่นเป็นนางวันทอง และกำหนดให้เป็นผู้เล่าเรื่องราวของพระพันวษาด้วย นับเป็นการยั่วล้อและเสียดเย้ยความยอกย้อนของสังคมแบบไทย ๆ ได้อย่างเจ็บแสบ (ซึ่ง ดวงใจ นางเอกคู่บุญของประดิษฐ ก็ฝากฝีมือไว้อย่างมีพลัง ตอนเธอเป็นวันทองก็ว่าสวยดีแล้ว แต่ตอนเล่นเป็นพระพันวรรษานั้น แม้จะเล่นแบบตัดอารมณ์แต่กลับให้มิติที่สะเทือนใจแก่ผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง)
ละครจบลงด้วยฉากที่จมื่นไวย ฯ ส่งดอกบัวไหว้ขอขมาผีแม่วันทอง และกล่าวว่าตนนั้นทำได้เพียงเท่านี้ คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่อะไรได้ เพราะต้องมีภาระมีครอบครัวที่ต้องดูแล…นางวันทอง จึงจำลา…และเด็ดกลีบของดอกบัวสี่กลีบวางไว้ในสี่ทิศรอบตัวจมื่นไวยฯ ในสายตาของผู้ชมเรารู้ว่านางวันทองจากไปอย่างไม่สงบแน่ๆ และเราก็อดลุ้นไม่ได้ว่า จมื่นไวย ฯ จะสามารถข้ามพ้น “มายาคติ” ที่ครอบงำเขาไปสู่แสงสว่างทางปัญญาได้ ในวันหนึ่ง
ละครหลาย ๆ เรื่องของประดิษฐ เขามักกำหนดให้ตัวละคร “แม่” ทวงถาม “ความกล้า” จากลูก โดยเฉพาะลูกชาย ซึ่งลูกชาย ในละครของประดิษฐ มักจะอยู่ในสถานะของ “ผู้กล้า” เป็น “วีรบุรุษ” ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับตัวละคร “แม่” ของประดิษฐแล้ว ลูกชายเหล่านั้นกลับเป็นเพียงแค่คน “ขลาด” ที่จะลุกขึ้นมาฝืนขนบที่พวกเขาต่างก็รู้ว่า “ไม่ถูกต้อง” และยอมตัวเป็นทาสและปรับตัวเองให้รู้สึกว่าขนบที่ผิดเพี้ยนนั้น เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ใคร ๆ ต่างก็ยึดถือ ดังจะเห็นได้จากตัวละคร “สุดปรารถนา” จากละครเรื่อง นายซวยตลอดศก ตัวละคร สส. สุด (เช่นกัน) จากเรื่อง รถไฟฟ้ามาหาอะไร และอีกครั้งกับ จมื่นไวยฯ ในการกลับมาของวันทอง
ความโดดเด่นของละครเรื่องนี้คือรากทาง “วรรณศิลป์” ของประดิษฐที่แข็งแรงมาก และรากทางขนบในการ
”ใช้เพลง” ไทยเดิมมาปรับลูกเอื้อนลูกผสานในแบบการร้องเพลงสมัยใหม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าละครร่วมสมัยของเขานั้น
“มีราก” แน่นอนสองสิ่งนี้กลายเป็นอาวุธสำคัญของเขาในฐานะศิลปินร่วมสมัย โดยรวมแล้วผมชอบเลยเรื่องนี้ แต่จะรู้สึกสะดุดกับละครองค์สุดท้ายนิดหน่อย ที่จู่ ๆ ละครก็เปลี่ยนวิธีเล่น ทำให้ละครที่กลมมาตลอด แบนไปอย่างน่าเสียดาย
การที่ประดิษฐฉีก “กลอนเสภา” เดิมแล้วแต่งของตัวเองเข้าไปปะปน และ ฉีกขนบการใช้ “เพลงไทยเดิม” แบบนี้ นับเป็นการวิวัฒน์และสอดรับกับ “สาร” ที่เขาต้องการส่งไปถึงบรรดา “ลูกชาย” ของ “แม่วันทอง” ทั้งหลายให้หารกล้าเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ก้าวหน้า ในมุมมองนี้ น่าสนใจว่า หากจมื่นไวย ฯ ใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงอย่างรักษารากเหง้าไว้แบบที่ประดิษฐใช้ในการเล่าเรื่องเช่นนี้ อาจจะเป็นอีก “มรรค” วิถีที่จมื่นไวยฯ อาจทำให้แม่วันทองสู่สุขคติได้อย่างแท้จริง
(ที่มา Madame Figaro ฉบับเดือน กรกฎาคม 2554)