เมื่อคนหนุ่มสาวช่วยหนุนให้คุณทวดได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่: Sir Neville Marriner ที่ Komische Oper Berlin
เมื่อคนหนุ่มสาวช่วยหนุนให้คุณทวดได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่:
Sir Neville Marriner ที่ Komische Oper Berlin
(Sir Neiville Marriner)
เจตนา นาควัชระ
คุณทวดมีประวัติอันเรืองรอง ท่านเคยเป็นนักไวโอลิน (ที่ไม่ใช่แถวหน้าๆ) ในวง Philharmonia Orchestra และวง London Symphony Orchestra ว่างๆ ก็เชิญเพื่อนฝูงมาเล่นเชมเบอร์มิวสิคกัน ในตอนต้นไม่ได้ตั้งใจจะตั้งกลุ่มถาวร แต่การเล่นเชมเบอร์เป็นวัฒนธรรมตะวันตกดั้งเดิมที่เติบโตมาจากการเล่นดนตรีด้วยกันในครอบครัวและในหมู่เพื่อนฝูง ไม่นานนักคุณทวดและเพื่อนๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า การเล่นดนตรีในวงซิมโฟนีขนาดใหญ่ที่ซ้อมน้อยมากนั้นรังแต่จะทำให้ฝีมือตก จึงคิดตั้งวงเชมเบอร์ขึ้นมา ไม่ช้าไม่นานก็เกาะกลุ่มกันแน่น ทั้งสนุกและทั้งสร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเองในด้านของคุณภาพ The Academy of St Martin in the Fields (ตั้งชื่อตามชื่อโบสถ์ในกรุงลอนดอน อันเป็นสถานที่ออกแสดงครั้งแรกเมื่อปี 1959) เป็นที่รู้จักกันดีและคุณภาพก็เป็นที่ยอมรับ กลายเป็นวงเชมเบอร์ระดับแนวหน้าของยุโรปไปเลยเมื่อเดิมเล่นกันโดยไม่มีวาทยกร แต่ต่อมาคุณทวดค้นพบว่าตนเองมีความถนัดในการกำกับวง ก็เลยหันมาเอาดีในการเป็นวาทยกร วงดนตรีวงเล็กวงนี้อัดเสียงไว้มากมาย ออกเดินทางไปแสดงทั่วโลก จนเป็นที่รู้จักกันว่าถ้าเอ่ยถึงวงเชมเบอร์เมื่อไรละก็ วงดนตรีวงนี้ต้องได้รับการกล่าวขานถึงในระดับต้นๆ
คุณทวดค้นพบตนเองขั้นต่อไปว่า ท่านก็กำกับวงซิมโฟนีได้เช่นกันและได้มีโอกาสไปฝึกฝนกับปรมาจารย์ชั้นยอด คือ Pierre Monteux ในสหรัฐอเมริกา ในที่สุดก็ไปรับงานในหลายประเทศ และมาลงตัวในเยอรมนี โด่งดังขึ้นมาในฐานะวาทยกรประจำวงดนตรีประจำสถานีวิทยุภาคใต้ ที่เมือง Stuttgart (Radio– Sinfornieorchester Stuttgart) (เป็นที่น่าแปลกว่าวาทยกรชาวอังกฤษ – อันรวมถึงชาวสก๊อต– มาได้ดิบได้ดีกันในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีเป็นจำนวนไม่น้อยเลย หัวแถวก็คงจะเป็น Sir Colin Davis ซึ่งรับหน้าที่วาทยกรหลักของวงประจำสถานีวิทยุแคว้นบาวาเรีย (Bavarian Radio Symphony Orchestra)และ Sir John Eliot Gardiner ในฐานะวาทยกรประจำวงดนตรีของสถานีวิทยุภาคเหนือที่เมือง Hamburg (NDR – Sinfonieorchester) รุ่นกลางก็คือ Sir Simon Rattle ซึ่งประสบความสำเร็จมากในฐานะวาทยกรประจำวง Berlin Philharmonic Orchestra (ซึ่งผมเองยังไม่ค่อยจะสนิทใจนักว่าท่านผู้นี้ยอดเยี่ยมจริงดังที่สื่อช่วยกันหนุน) ล่าสุดวาทยกรชาวสก็อต Donald Runnicles ก็รับงานในฐานะผู้อำนวยการดนตรีของโรง Deutsche Oper Berlin จนทำให้อุปรากรโรงนี้เด่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ซบเซาไประยะหนึ่ง สำหรับวาทยกรหนุ่มสุดและฉายแววอัจฉริยะให้เห็นอย่างจริงจังคือ Daniel Harding ซึ่งเป็นวาทยกรประจำวง Swedish Radio Symphony Orchestra (ดูบทวิจารณ์ของผมชื่อ “The Mancunian Connection: Birtwistle and Mahler in Berlin”: www.thaicritic.com) สรุปว่าคุณทวด Sir Neville Marriner มิได้ข้ามช่องแคบอังกฤษมาคนเดียว เมืองอังกฤษซึ่งเคยถูกพวกเยอรมันเหยียดหยามว่าเป็น “ดินแดนที่ร้างดนตรี” (เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Das Land ohne Musik แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า the land without music) มาบัดนี้ได้ผลิตผู้นำในทางด้านดนตรีในฐานะวาทยกรออกไปครอบครองแผ่นดินใหญ่ในยุโรปแล้ว ผมไม่เคยฟังคุณทวด Sir Neville Marriner กำกับวงในการแสดงสดมาก่อนเลย การแสดงในคืนวันที่ 9 ตุลาคม 2015 เป็นโอกาสที่ผมพลาดไม่ได้ (เพราะท่านเซอร์อายุ 91 แล้ว และผมเองก็แค่รุ่นน้องท่านเท่านั้น ไม่ใช่รุ่นลูกรุ่นหลาน!) ผมตัดสินใจไปซื้อตั๋วเอาหน้าโรงอุปรากร Komische Oper แต่พอไปถึงได้รับข่าวร้ายว่า ตั๋วหมดเสียแล้ว แสดงว่าท่านเซอร์มีแฟนประจำอยู่ไม่น้อย โชคดีมีสุภาพบุรุษคนหนึ่งมารับตั๋วที่หน้างานและบอกว่าเพื่อนของเขามาไม่ได้ จึงขายตั๋ว 1 ใบให้ผม นับเป็นโชคอันมหาศาล หาไม่ผมอาจจะพลาดโอกาสไปตลอดก็ได้
(Komische Oper Berlin Orchestra)
สูจิบัตรไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดจึงเป็นรายการคีตนิพนธ์ของ Mendelssohn ทั้งหมด ผมยังสืบค้นไม่ได้ว่า Sir Nerville Marriner เป็นผู้ที่มีความจัดเจนในงานของคีตกวีโรแมนติกเยอรมันท่านนี้เพียงใด แต่เมื่อดูรายการแล้วก็แน่ใจได้ว่าเพลงที่เลือกมามีความหลากหลายพอที่จะจัดเป็นคอนเสิร์ตที่น่าสนใจขึ้นมาได้ วงดนตรีที่บรรเลงในคืนวันที่ 9 ตุลาคม 2015 เป็นวงประจำโรงอุปรากร Komische Oper และผมเองก็มีใจสวามิภักดิ์กับวงดนตรีประจำโรงอุปรากรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะนักดนตรีจะต้องปรับตัวตามวาทยกรและโดยเฉพาะตามนักร้องที่เปลี่ยนชุดหรือเปลี่ยนตัวไปทุกคืน วงประจำโรงอุปรากรที่โดดเด่นที่สุดก็คือ วง Vienna Philharmonic Orchestra ซึ่งใช้นักดนตรีของโรงอุปรากร Vienna State Opera เป็นหลัก พวกเขาไม่มีวาทยกรประจำ ไม่ต้องการจะมี และเชิญวาทยกรที่หลากหลายมากำกับวง คือ จะมาแบบไหนก็รับได้หมด เพราะฝึกปรือมาอย่างดีแล้วกับองคนิพนธ์ทั้งของอุปรากรและทั้งของวงซิมโฟนี สำหรับ Komische Oper นั้น ชื่อบอกว่า แต่เดิมเดินตามขนบของฝรั่งเศสที่ตั้งโรงอุปรากรเฉพาะด้านที่เรียกว่า Opéra Comique ขึ้นมาสำหรับแสดงอุปรากรประเภทที่มีทั้งเพลงร้องและบทเจรจา (dialogue) ขนบดั้งเดิมจะจัดอุปรากร เช่น Carmen ไว้แสดงที่ Opéra Comique (เพิ่งจะมาแหวกประเพณีแล้วย้ายมาแสดงที่โรงใหญ่เมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง) ขนบเยอรมันที่เรียกว่า Singspiel คือทั้งร้องทั้งพูดก็ต้องจัดเข้าแสดงที่โรงนี้ เช่น The Magic Flute ไม่ได้แปลว่าคุณภาพต่ำกว่าโรงใหญ่ และสำหรับ Komische Opera แห่งกรุงเบอร์ลินนั้น ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ในเยอรมนี เมื่อทศวรรษ 1960 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออกภาคภูมิใจกับคุณภาพของคณะอุปรากรนี้มาก ส่งออกไปแสดงในต่างประเทศอยู่เป็นประจำ ซึ่งผมเองก็เคยได้ชมมาแล้ว เมื่อครั้งที่พวกเขามาออกโรงที่เมือง Stuttgart (ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองมหาวิทยาลัย Tübingen ที่ผมเคยศึกษาอยู่) ในระยะหลังนี้ โรงอุปรากร Komische Opera ก็โด่งดังขึ้นมาอีกเช่นกัน เพราะได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงอุปรากร หมายเลข 1 ของเยอรมนีมาถึง 2 ครั้งแล้ว คงไม่มีใครให้รางวัลโรงอุปรากรหรอก ถ้าวงดนตรีไม่อยู่ในระดับแนวหน้าเช่นกัน ผมชอบมาดูอุปรากรที่โรงนี้ เพราะนอกจากวงดนตรีจะดีแล้ว เขายังมีการจัดแสดง (production) ที่แหวกแนวอยู่เสมอ บางครั้งอาจจะบ้าตามทิศทาง “ละครของผู้กำกับ” ที่รู้จักกันในนามของ Regietheater ไปบ้าง แต่โดยทั่วไปเป็นงานของผู้กำกับการแสดงที่หัวก้าวหน้า แต่ก็เข้ากับวาทยกรและวงดนตรีได้ดี โรงอุปรากรทุกโรงจะเอาอย่าง Vienna Philharmonic Orchestra ด้วยการจัดซิมโฟนีคอนเสิร์ตเป็นประจำ Komische Oper ก็เช่นกัน ครั้งนี้ต้องการจะพิสูจน์หลักการบางอย่างว่า ผู้อำนวยเพลงนั้นไม่ว่าจะแก่เพียงไหน หรือจะเด็กเพียงไหน ก็ร่วมงานกันได้ (ผู้อำนวยการโรงอุปรากรนี้ในระยะหลังๆ เป็นคนหนุ่มทั้งสิ้น คนที่เพิ่งย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงอุปรากรแห่งเมืองมิวนิค คือ Kirill Petrenko ซึ่งต่อไปจะไปรับตำแหน่งวาทยกรประจำวง Berlin Philharmonic Orchestra ในปี 2018) ครั้งนี้นักดนตรีกลุ่มนี้พร้อมใจที่จะทำงานร่วมกับคุณทวดอายุ 91 ปี
ผมจงใจเกริ่นนำให้ยาวสักหน่อย เพราะต้องการสร้างความเข้าใจในเรื่องของขนบการแสดงดนตรีและอุปรากรของยุโรป เพราะหาไม่จะเข้าใจตามคนยุโรปยุคใหม่ไปว่า ความใหญ่และความโอ่อ่าคือตัวประกันคุณภาพ คราวนี้เจ้าตำหรับวงดนตรีวงเล็ก คือเชมเบอร์ออร์เคสตราคือท่านเซอร์เองมาพบกับวงดนตรีซิมโฟนีของอุปรากรโรงเล็ก ซึ่งไม่ต้องการจะทำตัวให้เล็กอีกต่อไป จึงต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันสักพักหนึ่ง เมื่อคุณทวดปรากฏตัวบทเวทีของโรงอุปรากร ซึ่งจัดแต่งเสียใหม่ โดยใช้ฝากั้นด้านหลังให้เสียงสะท้อนออกมาด้านหน้า ผู้คนปรบมือกันอย่างกึกก้อง เท่ากับเป็นการต้อนรับผู้มีคุณูปการของการดนตรีตะวันตก คุณทวดเดินขึ้นแท่นกำกับวงอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับแล้วยืนตัวตรง โดยเริ่มบรรเลงทันที ท่านเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยงานที่ Mendelssohn เริ่มเขียนในรูปของ Concert Overture ตั้งแต่อายุ 17 ปี คือดนตรีประกอบละครเรื่อง Midsummer Night’s Dream ของ Shakespeare จึงมาสำเร็จครบชุดในช่วงท้ายของชีวิตอันสั้นของเขา ก็เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่า Mendelssohn นั้นคือหนูน้อยมหัศจรรย์ในบรรดานักแต่งเพลงคือจัดได้ว่าเป็นทายาทของ Mozart ได้เลยทีเดียว ดนตรีชุดนี้มีความแจ่มใสสมกับเป็นดนตรีประกอบละครชวนหัว ผู้เชี่ยวชาญเชกสเปียร์ทราบดีว่าการตีความละครชวนหัว (comedies) ของเชกสเปียร์นั้นยากยิ่งนัก แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดว่า คนเยอรมันจับวิญญาณของละครชวนหัวของเชกสเปียร์ได้ดีกว่าชาติอื่นๆ ดังจะเห็นได้จากบทแปลและงานวิจารณ์ของ August Wilhelm Schlegel (ค.ศ. 1767-1845) เมนเดลส์โซนเติบโตมาในขนบนี้ และเพลงที่เขาแต่งขึ้นเมื่ออายุ 17 นั้นก็ต้องทำให้คนอังกฤษเองต้องอ้าปากค้างไปเลยว่า คนเยอรมันจับแก่นของละครเชกสเปียร์ได้อย่างไร คุณทวดเลือกคีตนิพนธ์บทนี้มาบรรเลง 5 ตอน แต่ผมต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “แป้ก” ทุกตอน เพราะขาดความอ่อนไหวและความร่าเริงของวัยหนุ่มสาว แม้แต่เพลง
มาร์ซงานแต่งงานที่เรารู้จักกันดีก็จืดชืด ขาดความสง่างาม คุณทวดเรียงลำดับให้ Scherzo มาเป็นท่อนสุดท้ายของการบรรเลง โดยคาดหวังว่าจะตรึงคนฟังให้ได้ และผมก็ได้ฟังวง Philharmonia จาก London เล่นเพลงนี้แถมในมหกรรมดนตรีที่กรุงเบอร์ลินเมื่อปี 2013 ซึ่งต้องเรียกว่าสุดยอดอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน (ดูบทวิจารณ์ของผมชื่อ “ฆ่าไม่ตาย-ข้าไม่ตาย-ค่าไม่ตาย ว่าด้วยวงฟิลฮาร์โมเนียแห่งลอนดอน” ที่เว็บไซต์ www.thaicritic.com) ผมว่าวงดนตรีเริ่มใจเสียแล้ว เพราะถ้าทั้งรายการออกมาจืดสนิทเช่นนี้ คงเสียชื่อแน่ ผมเองก็ใจเสียตามไปด้วย ไม่อยากจะให้คนเหยียบย่ำคุณทวดว่า ควรจะเกษียณตัวเองไปนานแล้ว แต่กลับยังฝืนธรรมชาติอยู่ได้ ในที่สุดคนหนุ่มสาวก็ตัดสินใจร่วมมือกันช่วยปลุกคุณทวดให้ตื่นขึ้นมาให้ได้
(Augustin Hadeich)
(Soloist)
งานชิ้นต่อไปก็ต้องเรียกว่าเป็น “ม้าสงครามแก่” (old warhorse) ของวงการดนตรีคลาสสิกเช่นกัน เพราะเล่นกันบ่อยเสียจนหาแง่มุมใหม่มาแสดงได้ยากมาก นั่นคือ Violin Concerto in E minor ซึ่งผู้แสดงเดี่ยวคือนักไวโอลินหนุ่มชาวอเมริกัน Augustin Hadelich คุณทวดกำกับวงแบบเดิม คือเป็นงานประจำที่ท่านทำต่อเนื่องมาแล้ว 50 ปีเป็นอย่างต่ำ (ถ้ารวมเวลาที่ท่านเป็นนักไวโอลินในวงซิมโฟนีด้วยก็ต้องนับได้ถึง 70 ปีขึ้นไป!) นักไวโอลินคนนี้ไม่ธรรมดา เขาไม่ “ทึ้ง” คอนแชร์โตบทนี้ แต่พยายามจะไปทางลึก เจาะหาแก่นของงานให้ได้ แต่ก็แม่นยำในเชิงเทคนิคอย่างหาที่ติมิได้ คุณทวดท่านเคยชินมาอย่างไร ท่านก็กำกับวงไปตามนั้น ซึ่งโดยองค์รวมก็ต้องถือว่ามีมาตรฐาน พอมาถึงตอนที่นักไวโอลินมีโอกาสแสดงเดี่ยวคนเดียวในช่วง Cadenza เขาก็สื่อความมาอย่างชัดเจนเลยว่าเขาต้องการ Mendelssohn ที่ไม่เคยแก่ เพราะลีลาเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของคนหนุ่ม นักดนตรีนั่งฟังเขาด้วยความสนใจ และผู้ที่รับสารได้ คือหัวหน้าวง (concertmaster) เป็นสุภาพสตรีที่เป็นนักไวโอลินมีฝีมือที่ได้รับรางวัลมาแล้ว อาจจะแก่กว่าผู้แสดงเดี่ยวเล็กน้อย พอเห็นนักดนตรีรุ่นน้องตกที่นั่งลำบาก เธอก็ตัดสินใจทันทีว่า จะต้องร่วมกับชายหนุ่มคนนี้ปลุกคุณทวดให้ตื่นให้ได้ พอจบ Cadenza และวงดนตรีเข้ามาเล่นรับในช่วงสุดท้ายของกระบวนที่ 1 หัวหน้าวงก็เอี้ยวตัวเข้าหาวงแล้วลงมือกำกับวงเสียเองจากที่นั่งหน้าสุดด้านซ้ายของวาทยกรนั่นเอง เธอกับผู้แสดงเดี่ยวดูจะเข้ากันได้ดีมาก การบรรเลงเปลี่ยนไปทันที คุณทวดถูกลากตามไปด้วยโดยที่ท่านอาจจะไม่รู้ตัวว่า ท่านได้กลายเป็นนักดนตรีคนหนึ่งไปแล้วที่ถูกกำกับด้วยชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่นี้ การบรรเลงน่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที เมื่อจบกระบวนที่ 1 แล้วต่อด้วยกระบวนที่ 2 โดยไม่มีการหยุดพัก (โดยเมนเดลส์โซนเขียนกำกับเอาไว้ให้เครื่องเป่าเข้ามาเป็นตัวเชื่อมต่อ) แนวการบรรเลงเปลี่ยนไปแล้ว นักไวโอลินพยายามไม่ให้น้ำหนักมากนักกับระดับเสียงต่ำของซอ แต่สร้างความลึกขึ้นมาได้จากความสดใสและหวานซึ้ง มันเป็นการตีความที่แปลกใหม่สำหรับผม แต่ผมต้องยอมรับว่าเป็นการทำให้งานชิ้นนี้มีความหมายขึ้นมาในมิติที่เราไม่ค่อยจะได้ยินกัน พอมาถึงกระบวนที่ 3 ทุกอย่างก็ลงตัว แต่ผู้ที่กำกับวงที่แท้จริงก็ยังคงเป็นหัวหน้าวงอยู่นั่นเอง ผมเกือบจะเดาว่านักไวโอลินทั้ง 2 คนมาจากสำนักเดียวกัน (แต่ไปเปิดดูประวัติแล้วไม่ใช่) ไม่ว่าไวโอลินเดี่ยวจะไปทางไหนจะเร็วจะช้า วงดนตรีตามได้หมด เครื่องเป่าซึ่งในงานชิ้นแรกทำท่าจะล้มลุกคลุกคลาน พอมาถึงกระบวนที่ 3 ของคอนแชร์โตบทนี้ก็ดูจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม Violin Concerto จบลงด้วยความพึงพอใจของทุกฝ่าย ผู้ชมประทับใจมาก ปรบมือกันอย่างกึกก้อง ผู้แสดงเดี่ยวกลับมาบนเวทีหลายครั้ง จนต้องแถมด้วย Caprice หมายเลข 5 ของ Paganini มาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรจะต้องออมแล้ว เขา “ปล่อยของ” ได้เต็มที่ Hadelich มีทั้งเทคนิคและทั้งสไตล์ที่หลากหลาย น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคุณทวดตื่นแล้วก็ต้องปล่อยให้ท่านได้แสดงฝีมือตามแบบของท่าน ท่านกลับมาหลังพักครึ่งเวลาราวกับไปชุบตัวให้หนุ่มขึ้น 30 ปีเป็นอย่างน้อย Overture: The Hebrides หรือ Fingal’s Cave ลงตัวเป็นอย่างดี โดยกลุ่มเครื่องสายดำเนินลีลายืนพื้นชวนให้คิดถึงคลื่น ในขณะที่เครื่องเป่าทำหน้าที่พรรณนาภาพอื่นๆ ไป ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าคุณทวดรู้ตัวเป็นอย่างดีแล้วว่าท่านกำลังกำกับวงซิมโฟนีเต็มรูป จึงต้องใช้ศักยภาพของวงให้เต็มที่ เครื่องลมไม้ โดยเฉพาะปี่คลาริแนตเล่นได้ดีขึ้นมาก สรุปได้ว่าเครื่องร้อนแล้ว พอมาถึงงานชิ้นสุดท้ายของเมนเดลส์โซนที่บรรเลงในครั้งนี้คือ Italian Symphony ก็กล่าวได้ว่าวาทยกรกับวงดนตรีเข้ากันได้เป็นอย่างดี Marriner มีมโนทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับซิมโฟนีบทนี้ คือเป็นมโนทัศน์ของกลุ่มโรแมนติกเยอรมันที่โหยหาความแจ่มใสของเมืองใต้ และก็ค้นพบสิ่งที่ตนใฝ่ฝันอยากจะได้สัมผัส ความโดดเด่นของการบรรเลงอยู่ที่การเปล่งคีตกวี (phrasing) โดยเห็นได้ชัดจากกระบวนที่ 3 ซึ่งแม้จะเล่นค่อนข้างเร็ว แต่ก็หวานซึ้ง ครั้งนี้คุณทวดได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ แล้วว่า ในช่วงเวลาที่ท่านตื่นตัว ท่านยังทำหน้าที่กำกับวงได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับที่ท่านเคยทำได้เมื่อ 30 ปีก่อน
Arturo Toscanini เต็มใจเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 87 ปี เพราะในการบรรเลงครั้งหนึ่งท่านรู้ตัวว่ามีอาการความจำบกพร่อง (memory lapse) โลกเปลี่ยนไปในด้านของสุขอนามัย ผมได้เขียนถึงการกำกับวงนี้ยอดเยี่ยมของ Christoph von Dohnanyi ไปแล้ว ในคอนเสิร์ตของวง Phiharmonia ที่เบอร์ลินเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2015 อายุ 85 ปีไม่เป็นอุปสรรคอันใดเลย Sir Neville Marriner เมื่ออายุ 91 ปีก็ดูยังจะไม่พร้อมที่จะเกษียณตัวเอง และก็มีเหตุผลที่จะสนับสนุนให้ท่านได้ทำหน้าที่วาทยกรต่อไป
ผมกลับมาที่พักแล้วลองเปิด Youtube ฟัง Italian Symphony ที่ท่านอัดเสียงเอาไว้กับวงประจำของท่านคือ Academy of St Martin in the Fields ผมว่าการบรรเลงของวง Komische Oper มีชีวิตชีวากว่ามากนัก พวกนักดนตรีหนุ่มสาวในวงอุปรากรวงนี้สามารถหนุนให้คุณทวดสร้างงานที่อยู่ในระดับแนวหน้าขึ้นได้เมื่ออายุ 91 ปี นี่มันอะไรกันนี่ เรื่องของดนตรีอธิบายได้ยากด้วยเหตุผลจริงๆ