Violin recital by Ryan Yee and Jessica Leong : ผู้มาเยือนฝีมือดีจากต่างแดน
Violin recital by Ryan Yee and Jessica Leong : ผู้มาเยือนฝีมือดีจากต่างแดน
ธันฐกรณ์ ลัคนาศิโรรัตน์
ศาลาสุทธสิริโสภาเป็นหอแสดงดนตรีอีกแห่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามีความลงตัวและสมบูรณ์แบบในด้านอุโฆษวิทยาที่ยอดเยี่ยมเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรเลง นอกจากนี้ด้านการตกแต่งออกแบบก็น่าสนใจ เพราะใช้ศิลปะทั้งไทยและเทศอย่างสวยงามผมเคยมาฟังดนตรีที่ศาลาแห่งนี้หลายครั้ง แต่ละครั้งก็จะได้ความประทับใจทั้งจากการบรรเลงดนตรีและการชมสถาปัตยกรรมอันงดงาม และในวันที่ 12 มิถุนายน 2559 ผมมีโอกาสอีกครั้งที่ได้มาฟังดนตรีดีๆ ซึ่งบรรเลงโดยนักศึกษาจาก Nanyang Academy of Fine Arts ประเทศสิงคโปร์ถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับตัวผมที่จะได้เปิดโลกทัศน์ เพราะบทเพลงที่บรรเลงในวันนี้เป็นบทเพลงที่ต้องใช้เทคนิคที่ยากมากและการตีความที่ลึกซึ้งจึงจะบรรเลงได้อย่างดี
รายการในเย็นวันนี้เริ่มต้นด้วย Rondo in C Major for Violin and Orchestraผลงานลำดับที่ 373 ของ Wolfgang Amadeus Mozart ต่อเนื่องด้วยPoème ผลงานลำดับที่ 25 ของ Ernest Chausson นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสจากยุคโรแมนติก ตามด้วย Violin Sonata No.2 in D Major ผลงานลำดับที่ 94 ของ Sergei Prokofiev นักประพันธ์ชาวรัสเซีย และปิดท้ายคอนเสิร์ตด้วย “ ของหนัก “ อย่าง Tzigane ผลงานการประพันธ์ของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส Maurice Ravel บรรเลงไวโอลินโดย Ryan Yee และเปียโนโดย Jessica Leong
การแสดงเริ่มต้นด้วย Rondo in C Major for Violin and Orchestra ผลงานของโมสาร์ต 9 Ryan Yee เริ่มต้นบรรเลงด้วยความสดใส เสียงไวโอลินของเขาหวานและอุ่น ฟังแล้วไม่บาดหู ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มเขาไป บทเพลงมีบางตอนมีการเปลี่ยนอารมณ์จากสดใสเป็นหม่นหมองลงเล็กน้อย ราวกับโมสาร์ตได้ระบายสีดำลงไปในผลงานของเขา ซึ่งเท่าที่ผมฟังดู Ryan เลือกที่จะไม่ทำให้ในจุดนั้นหม่นหมองจนเกินไป นับเป็นการตีความบทเพลงที่น่าสนใจและชาญฉลาด ส่วนทางด้าน Jessica Leong ก็บรรเลงประกอบได้อย่างเหมาะสมและเข้ากับเสียงไวโอลินเป็นอย่างดี เสียงเปียโนของเธอนุ่มนวลอ่อนหวาน
รายการดำเนินต่อด้วย Poème ของ Chausson ซึ่งผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ขึ้นเพื่ออุทิศแด่ Eugène Ysaÿe ยอดนักไวโอลินชาวเบลเยี่ยม บทเพลงเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนที่แผ่วเบาและเศร้าสร้อย แล้วไวโอลินจึงบรรเลงขึ้นด้วยอารมณ์เดียวกัน ราวกับทั้งคู่ได้ตัดขาดจากโลกของโมสาร์ตอย่างสิ้นเชิง บทเพลงทวีความรุนแรงและความโกรธเกรี้ยวมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ไวโอลินได้แสดงเทคนิคของผู้บรรเลง ซึ่งตัวYee สามารถบรรเลงได้เป็นอย่างดี ทางฝั่งเปียโนเองก็ต้องใช้ความสามารถอย่างสูงเช่นเดียวกัน เพราะไม่เป็นการง่ายเลยที่จะทำให้สามารถบรรเลงไปในทิศทางเดียวกันกับไวโอลินอีกทั้งต้องคอยระวังไม่ให้เสียงของตนนั้นกลบเสียงไวโอลิน อีกด้วยแต่ Jessica สามารถบรรเลงได้เป็นอย่างดีเพียง แต่ว่าในบางจุดเธออาจจะขาดความรุนแรงในการบรรเลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียหายอะไร
การแสดงในบ่ายวันนี้ไม่มีการพักครึ่งการแสดง ดังนั้นจึงดำเนินต่อไปด้วยViolin Sonata No.2 in D Majorผลงานของโปรโคเฟียฟ เดิมนั้นไวโอลินโซนาต้าบทนี้ประพันธ์ขึ้นสำหรับฟลุทและเปียโนแต่ด้วยความร่วมมือของนักไวโอลินของรัสเซีย David Oistrakh ทำให้เกิดเป็นไวโอลินโซนาต้าบทนี้ขึ้นมา ทั้งคู่บรรเลงอย่างดุเดือดราวกับติดลมมาจากบทเพลงที่แล้ว ทำให้การแสดงน่าสนใจมาก เมื่อบรรเลงถึงกระบวนที่ 3 บทเพลงกลับเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นสงบนิ่งและอ่อนหวานอีกครั้งทำให้ทั้งผู้ชมและผู้บรรเลงได้พักบ้างเมื่อถึงกระบวนที่ 4 ซึ่งเป็นกระบวนสุดท้าย Yee ก็บรรเลงอย่างดุเดือดอีกครั้งส่วนทางด้าน Leong Jessica ก็สามารถปรับอารมณ์และการบรรเลงของตนให้เข้ากับ Yee ได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแต่ในบางจุดนั้นเสียงเปียโนจะเริ่มกลบไวโอลินไปบ้าง กล่าวโดยรวมทั้งคู่ก็สามารถบรรเลงได้เป็นอย่างดีและประทับใจผู้ฟังมาก
บทเพลงสุดท้ายในวันนี้คือ Tzigane เริ่มบทเพลงด้วยเสียงไวโอลินที่เข้มข้นและสื่ออารมณ์โกรธเกรี้ยว เมื่อผมฟังโน้ตตัวแรก ผมต้องอึ้งไปเลย เพราะเป็นเสียงที่แสดงออกทางอารมณ์ได้ดีมาก ไวโอลินแสดงเทคนิคอันโลดโผน ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นไฮไลท์ในรายการนี้เลยก็ว่าได้ เพราะว่าทั้งคู่บรรเลงได้น่าประทับใจ ได้อารมณ์อันหลากหลายในบทเพลงเดียวทั้งโกรธเกรี้ยวเศร้าสร้อยรวมไปถึงความน่ารักสดใสซึ่งผมคิดว่าตัว Yee จะสื่ออารมณ์ความสดใสได้ดีเป็นพิเศษเหมือนกับว่าเป็นความน่ารักบริสุทธิ์ของเด็กน้อยไร้เดียงสา ซึ่งผมเองก็เผลอคิดไปว่านั่นอาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Yee ก็ว่าได้ ในบทเพลงนี้เปียโนดูจะไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ดี Leong ก็ยังคงรักษาคุณภาพของการบรรเลงไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาตั้งแต่ต้นจนจบการแสดง
คอนเสิร์ตในวันนี้จบลงไปได้ด้วยดีพร้อมกับเสียงปรบมืออันกึกก้องของผู้ฟังที่ประทับใจการบรรเลงของศิลปินผู้มาเยือนทั้งคู่นับว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ดีมากๆ อีกคอนเสิร์ตหนึ่งเลยทีเดียว ชวนให้ผมคิดต่อไปว่าการดนตรีในต่างประเทศเขาพัฒนากันไปไกลแล้ว แต่ความสามัคคีระหว่างสถาบันดนตรีในบ้านเราดูจะขาดหายไป ซึ่งน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าพูดถึงระดับนักเรียน นักศึกษาดนตรีแล้ว พวกเราเป็นมิตรข้ามสถาบันกันได้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ เลย