เกิด-ดับ: เมื่ออภิปรัชญาสื่อได้ด้วยละคร
เกิด-ดับ: เมื่ออภิปรัชญาสื่อได้ด้วยละคร
เจตนา นาควัชระ
นิกร แซ่ตั้ง อาจจะเป็นนักการละครในจำนวนน้อยคนที่กล้าเขียนบทแล้วทำเป็นเล่มออกมาวางจำหน่าย (ในรูปแบบที่คล้ายๆ เอกสารโรเนียวที่เราใช้ในการท่องหนังสือเตรียมสอบในยุคก่อนๆ) ในฐานะผู้เขียนบท ผู้กำกับการแสดง และนักแสดง นิกรเข้าทางพวกผมที่เรียนมาทางอักษรศาสตร์ เพราะพวกเรามักจะอ้างอยู่เสมอว่าละครต้องเริ่มที่บท จะเกิด จะดับ ก็ด้วยบท คิดอย่างนี้ก็เป็นอันตรายได้เช่นกัน เพราะอาจมองข้ามองค์ประกอบอื่นๆ ของละคร ซึ่งเป็นศิลปะการแสดง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ความเชื่อ(ถือโชคลาง)ของพวกผมก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อบทละครแปลงานคลาสสิกทำให้ละครฟอร์มใหญ่สร้างความกระอักกระอ่วนให้กันทั้งผู้แสดงและผู้ชมเป็นอันมาก เมื่อปี 2521 ผมเขียนบทนำให้กับการแสดงเรื่อง มัทนะพาธา เอาไว้ในหัวข้อ “ละครกับอักษรศาสตร์” ซึ่งผมเกิดไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่าจะใช้ได้ในทุกกรณีไปละหรือ เมื่อได้มีโอกาสไปชมเกิด-ดับ ของนิกร แซ่ตั้ง ซึ่งคณะ 8 x 8 ร่วมกับสถาบันดนตรีและศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2554 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ผมก็เข้าใจดีขึ้นว่า วงการละครบ้านเราก้าวหน้าไปมาก โดยที่ยังให้ความสำคัญกับตัวบทอยู่ แต่ก็ได้พัฒนาองค์ประกอบอื่นๆ ให้ส่องทางให้แก่ตัวบทได้ ก่อนการแสดงจริงจะเริ่ม มีนักแสดงหญิงผู้หนึ่งเดินไปรอบๆ พื้นที่กลางซึ่งเป็นเวทีแสดง ทำท่าทำทางบางอย่างเพื่อเรียกการตอบสนองจากผู้ชม ผมฟังไม่ออกว่าเธอพูดว่าอะไร กว่าจะรู้ว่าเธอรินน้ำชาแจกจ่ายให้ผู้คนที่เข้ามาชมดื่ม และชักชวนให้เราเล่นละครใบ้ร่วมกับเธอ ก็ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว และเรื่องน้ำชากับการรินน้ำชา และการดื่ม หรือไม่ดื่มน้ำชา ก็กลายเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ไป เมื่อละครจริงได้เริ่มขึ้น
ละครเรื่องนี้ตั้งโจทย์หลักไว้ในรูปของอภิปรัชญาที่ว่าด้วย “เกิด-ดับ” นำแง่มุมต่างๆ มาอภิปราย สนทนา ถกเถียง โต้แย้งกัน ซึ่งโดยปกติแล้ววิธีการที่เราถกประเด็นเชิงอภิปรัชญานั้น มักจะเป็นการสนทนาโต้ตอบกันด้วยภาษาที่เปี่ยมด้วยนามธรรม และผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ละครเรื่องนี้เข้ามาทำหน้าที่แทนสัมมนาระดับปริญญาเอกของวิทยาลัยศาสนศึกษา หรือคณะเทววิทยา แต่ละครก็พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเลี่ยงมิให้ตกลงไปในหลุมพรางของปาฐกถาธรรม ถ้าจะใกล้เคียงกับวิธีการที่เรารู้จักกันดีในบริบทอื่นก็คงต้องเป็นเรื่องของปุจฉา-วิสัชนา ผมไม่สนใจที่จะจัดประเภทของละครเรื่องนี้ แต่ในวงการภาพยนตร์มีคำว่า “Essayfilm” ซึ่งเป็นคำภาษาเยอรมัน โดยบ่งบอกถึงภาพยนตร์ที่ผสมผสานวิธีการของ “หนังเรื่อง” เข้ากับ “หนังสารคดี” คำว่า essay นั้นมองได้สองทาง ทางหนึ่งชวนให้เราคิดถึงการแสดงออกด้วยความเรียง อีกทางหนึ่ง คือ ชวนให้คิดถึงการพยายามหรือการทดลอง ละครเรื่องเกิด-ดับ น่าจะสร้างประเภทใหม่ของละครขึ้นมาที่เราอาจเรียกว่าเป็น “essay theatre” ก็ได้ แต่ก็คงจะไม่มีใครว่าตามเรา เพราะทุกอย่างถ้าไม่มาจากตะวันตกก็คงไม่มีใครเชื่อถือ ผมกำลังคิดเกินเลยไปถึงงานประเภทนวนิยายที่เป็นกึ่งนิยายและกึ่งความเรียง นั่นคือ ความรักของวัลยา ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ถ้ามีนักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงริมฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกสักคนหนึ่ง ตั้งศัพท์ขึ้นมาว่า “essay novel” ก็คงจะมีผู้เดินตามอภิมหาปรมาจารย์ท่านนั้นเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนก็ได้
สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงในขณะนี้ก็คือ เกิด-ดับเป็นละครที่เสริมความหมายทั้งสองประการของคำว่า “essay” คือเป็นทั้งการทดลอง และเป็นทั้งการนำลักษณะของความเรียงมาผันให้เป็นบทละคร และผมก็ไม่ลังเลที่จะให้คำวินิจฉัยว่า การแสดงครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี (อาจจะต้องพูดเสียใหม่ว่า การแสดงครั้งนี้ถูกใจผมมาก เพราะเคยมีผู้ติงผมมาแล้วว่า การใช้การประเมินคุณค่า “เป็นอันตรายอย่างยิ่ง”)
สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจผมก็คือ ความมีชีวิตชีวาของการแสดง ละครดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การจัดเวทีที่อยู่ตรงกลาง และให้ผู้ชมนั่งโดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยมีทางเข้าออกหลายทาง ทำให้ผู้ชมต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ภาษาที่ใช้ก็มีหลายระดับ โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่นักแสดงจะมีทวิวัจน์ (dialogue) ต่อกันเยี่ยงนักวิชาทางหรือนักเทววิทยา ผู้เขียนบทกลับให้ตัวแสดงตอบโต้กันด้วยคำพูดส่วนใหญ่ที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่คำพูดเหล่านั้นสื่อความหรือชวนให้เราคิดไปในเชิงอภิปรัชญาได้ สังเกตได้ว่าตัวแสดงมิได้สื่อความในรูปของเอกวัจน์ (monologue) เพราะอาจจะเข็ดกับเชกสเปียร์มาแล้วก็ได้ เพราะเราไม่มีภาษาไทยของยุคปัจจุบันที่เหมาะสำหรับการแสดงละครพูดในลักษณะนั้น การไม่เอาอย่างเชกสเปียร์ในครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนบทและผู้กำกับการแสดงต้องพึ่งทวิวัจน์เป็นเครื่องมือสำคัญ และทวิวัจน์ดังกล่าวนี้ก็มีรูปแบบที่หลากหลายอีกเช่นกัน อาจจะเป็นการสนทนาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจกัน คิดพ้องกัน คล้อยตามกัน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนรูปไปในการที่คิดผละหนีออกจากกัน สวนทางกัน ขัดแย้งกัน หักดิบกัน ดังเช่นในประเด็นที่ว่าจะไปเกิดอีก หรือไม่เกิดอีก ความหลากหลายของทวิวัจน์คือจุดเด่นของละครเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าผู้แต่งละครที่กล้านำบทละครออกขายก็ย่อมจะต้องมีความสำนึกในเรื่องพลังของภาษาสูงพอ แต่ภาษาที่เป็นคำพูดก็คงไม่จุใจคนดูในยุคใหม่ ภาษากายจึงเข้ามามีบทบาทที่เอื้อให้เกิดความคึกคักและเข้มข้นของการแสดง ภาษากายจึงทำหน้าที่แซมคำพูด เสริมคำพูด ให้ความกระจ่างกับคำพูด หรือในบางครั้งก็แย่งบทบาทของคำพูดไปเสียเลย แม้แต่การแสดงลีลาชักดิ้นชักงอ หรือการไปเกิดใหม่เป็นสุนัขและสื่อความเยี่ยงผู้มีเล็บอันงามด้วยเสียงเห่าหอน ก็ดูจะทำได้เหมาะเจาะไม่ขัดเขิน
ผมได้มีโอกาสสนทนากับนิกร แซ่ตั้ง หลังการแสดง และก็ได้รับทราบว่านิกรกำลังคิดว่าในการแสดงครั้งต่อๆ ไป อาจจะเปลี่ยนชุดนักแสดงให้เป็นผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่านักแสดงชุดนี้ แต่เมื่อผมดูละครรอบนี้แล้ว ผมคิดว่าการใช้นักแสดงรุ่นหนุ่มสาวเป็นการตัดสินใจที่เหมาะแล้ว เพราะเป็นการทำให้เกิดข้อขัดในเนื้อในของละครที่ปลุกให้คนดูตื่นอยู่ตลอดเวลา คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ถกเถียง ทะเลาะกัน ในประเด็นที่หนักหน่วง ซึ่งดูจะห่างจากชีวิตประจำวันของคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ถ้าใช้ทฤษฎีของแบร์ทอลท์ เบรคชท์ (Bertolt Brecht: 1898-1956) ก็คงจะต้องอธิบายว่า การที่คนหนุ่มสาวคิดเช่นนี้ วางตัวเช่นนี้ พูดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการสร้างการทำให้แปลก (Verfremdung) ในลักษณะหนึ่ง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับละครชวนคิด เช่น เกิด-ดับ สำหรับคนรุ่นผม การได้ยินได้ฟังบทสนทนาในลักษณะนี้เท่ากับเป็นการเปิดทางใหม่ที่เบนออกไปจากวรรณศิลป์ไร้เทียมทานของกามนิต-วาสิฏฐี ในบทแปลและแปลงของเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ที่ละครแปลรุ่นใหม่พยายามจะเอาอย่างแต่ไม่สำเร็จ ในทำนองเดียวกันเกิด-ดับก็เป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งไกลจากพระราชนิพนธ์มัทนะพาธา ซึ่งถ้าแสดงออกเป็นร้อยกรองในรูปนั้น ผู้ชมรุ่นใหม่อาจจะรับสารได้ไม่เต็มที่ คงจะต้องสารภาพเสียตั้งแต่ในตอนนี้เลยว่า ดูละครเรื่องนี้แล้ว ผู้สูงอายุได้กำลังใจอันมหาศาล ถ้าโลกแห่งละครถ่ายแบบไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ ทำให้หนุ่มรุ่นกระทงและสาวรุ่นขบเผาะคิดเช่นนี้และพูดเช่นนี้ได้ บ้านเมืองเรา “น่าจะดีกว่านี้แน่”
สรุปได้ว่า ละครเรื่องนี้เป็นละคร “ปลายเปิด” เป็นละครที่มุ่งตั้งคำถามมากกว่าจะตอบคำถาม แต่ก็ไม่ใช่ละครปัญญาชน ผู้สร้างบทดูจะมีความเชื่อมั่นในสติปัญญาของผู้ชมว่า จะกลับไปทำการบ้านได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องตั้งโจทย์ให้ชัดเจนดังเช่นที่เบรคชท์กระทำในปัจฉิมบทของละครเรื่องคนดีแห่งเมืองเสฉวน ซึ่งกลัวว่าประเด็นจะหลุด จึงต้องมาตอกย้ำในตอนท้ายอีกครั้ง เกิด-ดับดูจะเป็นละครที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงพอว่า ถึงอย่างไรคนดูก็จะต้องกลับบ้านไปโดยปราศจากสภาวะโล่งใจ หรือที่ร้ายไปกว่านั้นคือสภาวะโล่งสมอง ประเด็นที่หนักหน่วงที่สุดที่ชวนให้คิดเกิดเลยไปจากแก่นเรื่องของเกิด-ดับ ก็คือ เรื่องของการมีเสรีภาพและการไร้เสรีภาพของมนุษย์ คำถามที่ค้างคาใจอยู่ก็คือ ใครเล่าเป็นผู้วางกรอบให้เราหลุดหรือไม่หลุดไปสู่เสรีภาพอันสัมบูรณ์ เป็นไปได้หรือที่เรามีเสรีภาพที่จะลืมอดีต และเมื่อได้เสรีภาพมาก็ใช่ว่าจะเป็นเสรีภาพที่อยู่สุดทางอันเอื้อให้พ้นจากพันธนาการทั้งหลายทั้งปวงแห่งวัฏสงสาร ดูละครแล้วต้องยอมรับว่า ตราบเท่าที่ยังล้างกิเลสไม่หมดสิ้น ก็คงจะไม่มียาวิเศษใดๆ หรือสูตรพิเศษใดๆ ที่จะปลดปล่อยเราออกจากวังวนอันเป็นปัญหาอภิปรัชญานี้ คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะปรับระดับลง จากอภิปรัชญามาสู่สังคม ทั้งๆ ที่ปัญหาสังคมเป็นปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่วังวนแห่งการเมืองน้ำเน่าน้ำหนองในปัจจุบันก็ดูประหนึ่งจะอยู่นอกเหนืออำนาจการกำกับใดๆ ของมนุษย์ไปเสียแล้ว กวีเยอรมัน เกออร์ก บืชเนอร์ (Georg Büchner: 1813-1837) ในละครอันเลื่องชื่อของเขาคือ ความตายของด็องต็อง (Dantons Tod) ได้พูดเอาไว้ว่า “การปฏิวัติเขมือบทายาทของตนเอง” คิดไปอีกขั้นหนึ่งก็อดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า เสรีภาพก็เขมือบบุตรหลานของตนเองเช่นกัน มันช่างเหมาะสมกับยุคสมัยเสียนี่กระไร ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ละครเรื่องนี้คงจะมีโอกาสได้แสดงต่อไป และปรับตัวต่อไป จนกว่าจะถึงร้อยรอบ!
คงจะต้องอภิปรายเรื่องวิธีและเทคนิคการแสดงบ้างสักเล็กน้อย ปัญหาที่สำคัญที่สุดของละครลักษณะนี้ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของละครเรื่องนี้ก็คือ จะสื่อความคิดเชิงนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างไร คำว่า “น้ำชา” มีปัญหาอย่างแน่นอน ผู้แต่งต้องการจะให้เป็นยาวิเศษที่ทำให้ลืมอดีตได้ แต่พอได้ยินคำนี้ สายโยงใยแห่งความหมายที่ผูกอยู่กับคำ ทำให้มนต์ขลังมลายไปสิ้น คงไม่ใช่หน้าที่ของนักวิจารณ์ที่จะเสนอว่าควรหาคำอะไรมาแทน สายโยงใยแห่งความหมายต่างๆที่กล่าวถึงถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยเทคนิคของการกำหนดให้คนดูมีส่วนร่วม (audience participation) เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า เวทีละครกับโลกแห่งความเป็นจริงก็อยู่ในภาวะเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น นักแสดงที่ต้องทำท่าละครใบ้รินน้ำชาให้แก่ทั้งตัวละครและแก่ผู้ชมต้องเล่นบทเป็นยายไปพร้อมกันด้วย ต้องทำเสียงคนแก่ ซึ่งน่าประหลาดว่าทั้งละครเวที ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ใช้เสียงคนแก่ในลักษณะนี้มาโดยตลอด ซึ่งบางครั้งบทแม่มดก็ยืมไปใช้ด้วย คงจะต้องหาทางแก้เรื่องเสียงของคนแก่ให้ได้ ละครไทยอาจจะผูกอยู่กับสัจนิยมมากเกินไป คนแก่จึงต้องทำเสียงอันประหลาดเช่นนี้
เทคนิคที่น่าชื่นชมคือ การใช้แสงที่ดูเรียบง่ายและเข้ากับตัวบทได้ดี ส่วนที่น่าชมเชยที่สุดคือดนตรีประกอบ ซึ่งใช้ซอเชลโล่แต่เพียงตัวเดียวเล่นสดและด้นสดตามเนื้อเรื่องและการแสดง เสียงเชลโล่เป็นเสียงใหญ่ เหมาะที่จะเสริมบรรยากาศของวิพาษวิธีเชิงอภิปรัชญา และหนุนอารมณ์แห่งการครุ่นคิดพินิจนึก นั่นคือการใช้ดนตรีประกอบบทในระดับมหภาค แต่นักดนตรีใส่ใจที่จะเข้าไปหนุนการแสดงในรายละเอียดด้วย ซึ่งการเล่นแบบรูดสาย พร้อมทั้งกระดกคันชักเล่นโน้ตสั้นๆ ทำให้เกิดอารมณ์ทั้งปวดร้าวและสับสนได้ เสรีภาพที่มาจากการด้นตามการแสดงเป็นสิ่งที่ดนตรีประกอบละครไม่ค่อยใช้กัน อย่าลืมว่าละครคลาสสิกของไทยนั้นมักจะเลือกเพลงและกำหนดการใส่เพลงไว้ล่วงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น สูจิบัตรอาจจะชวนให้เขว โดยที่ผู้จัดแสดงทำหน้าที่เสียเองในการบอกผู้ชมว่าละครเรื่องนี้ว่าเป็น “ละครเวทีเชิงจิตวิญญาณ” พร้อมทั้งวงเล็บคำภาษาอังกฤษว่า “spiritual realism” ไว้ด้วย ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสมัครเป็นสมาชิกของละครสำนักใดและตระกูลใด วิธีที่ดีที่สุดคือ เลี่ยง “isms” ทั้งหลายเสีย และเป็นตัวของตัวเอง ดังที่ได้กระทำมาแล้ว ผมมั่นใจว่าเกิด-ดับเดินมาถูกทางแล้ว และในแง่ของคณะละคร ก็ไม่ควรจะคิดถึงเรื่อง “การดับ” เป็นอันขาด ท่านยังจะรุ่งไปได้อีกนาน ถ้ายังรักษาความเข้มข้นทางความคิดในระดับนี้เอาไว้ได้
————————
ตีพิมพ์ครั้งแรกในฉบับย่อยกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 55