เล่าเรื่องเมืองไทย : ว่าด้วยความมีโชคและความอับโชคของวงการเพลงไทยสากล
เจตนา นาควัชระ
มรดกจากทางบ้านที่คลั่งเพลงสุนทรภรณ์ต่อเนื่องกันมาสามชั่วคน ทำให้โลกของผมอาจจะเรียกได้ว่าเป็นโลกปิด และผมก็ได้ใช้ความคลั่งไคล้ของผมอาสาเข้าไปต่อสู้กับ UNESCO เพื่อให้ เอื้อ สุนทรสนาน ได้รับการยกย่องในระดับโลก การจะมาแก้จุดบอดเอาเมื่อเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วก็คงทำได้ไม่ง่ายนัก ศรวณี โพธิเทศ เป็นหนึ่งในบรรดานักร้องไม่กี่คนที่กระชากผมออกมากจากวังวนของสุนทรภรณ์ได้ (บ้าง) เมื่อคราวที่ผมกับผู้ร่วมวิจัยในโครงการ “การวิจารณ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัย” ได้จัดการสัมมนา “มัณฑนา โมรากุล วิชาการ” และการแสดง “เบิกฟ้า มัณฑนา โมรากุล” เราได้ตัดสินใจเชิญศรวณี โพธิเทศ มาขับร้องเพลง “ธรรมชาติกล่อมขวัญ” (คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง นารถ ถาวรบุตร) เพลงนี้เข้าใจว่าครูนารถแต่งขึ้นในสมัยที่ท่านยังร่วมงานอยู่กับวงดนตรีกรมโฆษณาการ จึงเหมาเอาได้ว่าอยู่ในกลุ่ม “เพลงสุนทรภรณ์” การขับร้องของศรวณี เปรียบได้กับการเผยแสดงที่เป็นประสบการณ์อันลึกมากๆ สำหรับผม ผมชอบพูดถึงการตีความเป็นเชิงของหลักการและทฤษฎีอยู่ตลอดเวลา แต่การจะปรับเรื่องของทฤษฎีให้เป็นปฏิบัติ หรือนำเอาทฤษฎีมาอธิบายการปฏิบัตินั้นไม่ใช่ของง่าย การขับร้องของศรวณีในวันนั้น (วันที่16 พฤศจิกายน 2546) เป็นการตีความเพลงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์สุนทรีย์ และด้วยความเข้าใจทางดนตรีที่ลึกซึ้งมาก การร้องของเธอฉีกแนวออกมาจากนักร้องสุนทราภรณ์อย่างแน่นอน เพราะกระเดียดไปในระดับที่เรียกว่ากึ่งอุปรากร ด้วยการเปล่งเสียงที่หนักแน่น มิได้เอื้อนเพียงเพื่อจะให้ได้ความหวาน ศรวณีสมัครเข้ามาเป็นนักร้องดาวรุ่งของวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่ก็ดูเหมือนครูเอื้อจะมิได้เห็นอัจฉริยภาพของเธอเพียงเท่าใดนัก แนวร้องของเธอไม่ใช่แนวที่ครูเอื้อปฏิบัติด้วยตนเอง หรือพร่ำสอนให้ศิษย์ส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติ การที่เธอจากวงสุนทราภรณ์มาเสียแต่เนิ่นๆ จึงดูจะเป็นการปลดปล่อยตนเองไปในทางที่จะเอื้อให้ได้ค้นพบตัวเอง การแสดงคอนเสิร์ต “เพชรประดับเพชร” ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2553 เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า เธอได้ค้นพบตัวเองแล้ว และการค้นพบตัวเองครั้งนี้ก็เป็นตัวบ่งชี้ทั้งความแข็งแกร่ง และความอ่อนด้อยของวงการเพลงไทยสากลของเรา
สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าฟัง แต่ก็มาจากใจจริง นั่นก็คือว่านักร้องชั้นยอดของเราจำนวนหนึ่ง ขาดเพลงร้องที่เอื้อต่อความถนัดและอัจฉริยภาพของเขาเอง พูดภาษาชาวบ้านก็คือ นักร้องผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้มีโอกาสร้องเพลงที่ดีที่สุดอันเป็นผลผลิตของวงการเพลงไทยสากล และนักร้องระดับธรรมดาๆ กลับพลัดหลงเข้าไปในวงของนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ จะมีใครที่โชคดีอย่าง รวงทอง ทองลั่นธม สักกี่คนที่ได้เพลงที่ดีที่สุด ของนักแต่งเพลงที่ดีที่สุด และนำไปร้องได้อย่างดีที่สุด อะไรๆ จึงดีที่สุด จนกระทั่งเจ้าตัวยังไม่ทราบว่าที่สุดของตัวอยู่ที่ไหน ผมคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงสวลี ผกาพันธ์ นักร้องรุ่นพี่ของศรวณี ซึ่งผมคิดว่ามีความสามารถในการร้องเพลงอยู่ในระดับแนวหน้าของเมืองไทย แต่เราอดสงสัยไม่ได้ ว่าในหนึ่งพันเพลงที่เธอร้องนั้น มีเพลงอมตะจริงๆสักกี่เพลง (ในขณะที่ครูเอื้อ และครูแก้ว แต่งเพลงให้กับละคร “จุฬาตรีคูณ” ไว้เพียง 6 เพลง แต่กลายเป็นเพลงอมตะไปทั้งหมด) พระสยามเทวาธิราชบางครั้งก็หาได้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
คอนเสิร์ตที่ศรวณี โพธิเทศ จัดขึ้นด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2553 เป็นรายการแสดงดนตรีที่ผมต้องยกย่องว่ากอปรด้วยรสนิยมอันดี มีความพอเหมาะพอดี ลงตัว ไม่มาก ไม่น้อย เพื่อนนักร้องที่รักใคร่กันมาช่วยเธอด้วยความเต็มใจ ความอบอุ่นบนเวทีจึงแผ่ลงมาสู่ผู้ดูผู้ชมข้างล่างให้ได้รับความอบอุ่นตามไปด้วย และอดชื่นชมไม่ได้ว่า วงการนี้เป็นวงการที่น่ายกย่อง เพื่อนฝูงที่วัยล่วงเลยมามากแล้ว ก็ตั้งใจมาร้องเพลงให้เธออย่างสุดฝีมือ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคทองของท่านเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว รายการแสดงครั้งนี้จึงอาจจะเรียกได้ว่า “เงาแห่งความหลัง” (ชื่อเพลงสุนทราภรณ์ ที่มัณฑนา และวินัย ร้องเอาไว้อย่างเพราะจับใจ) ผมอยากจะพูดเลยไปจนถึงพิธีกร ซึ่งเล่นมุกเล็กๆน้อยๆ หยอกเย้ากระเซ้าเพื่อนกันด้วยมิตรภาพ ไม่ “เวอร์” เหมือนบางรายการ ผู้ที่คุ้นเคยกับเพลงของศรวณีก็คงจะดื่มด่ำตามเธอไป บางเพลงชวนให้คิดถึงอดีตอันเรืองรอง คิดถึงรางวัลที่เธอได้รับ และก็อดคิดถึงเคราะห์กรรมของวงการเพลงไทยสากลบ้านเราไม่ได้ว่า เหตุใดจึงไม่มีนักแต่งเพลงร่วมสมัยในขณะนี้ที่แต่งเพลงให้กับนักร้องระดับแนวหน้าได้ร้องให้กับผู้ฟังร่วมสมัยได้ชื่นชมบ้าง นักร้องอาวุโสบางท่านอดตอกย้ำไม่ได้ว่าที่มาในครั้งนี้ตั้งใจจะมาร้องเพลงไทย นั่นก็เป็นการเตือนสติกันว่า นักแต่งเพลงและนักร้องยุคใหม่ที่พยายามจะทำภาษาไทยให้เป็นภาษาตะวันตกนั้น ได้กลายเป็น “ลูกไม่มีพ่อ” ไปเสียแล้ว เพราะจะขอเป็นไทยก็มีใครเขารับ (ยกเว้น คณะกรรมการตัดสินผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ซึ่งกลัวตกยุค) จะขอร้องแบบฝรั่งกับเขาก็เป็นได้แค่ “ฝรั่งขี้นก” ครั้นจะไปร้องเพลงฝรั่งกับเขาบ้างก็ยังห่างไกลจากการเป็นตะวันตกมากนัก รายการแสดงครั้งนี้อาจไม่ใช่ที่รวมเพลงที่ดีที่สุดขององคนิพนธ์แห่งเพลงไทย แต่ก็มีความมั่งคั่ง และมีความหลากหลายมาก ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของเพลงที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าจะร้องเพลงที่รองลงมาจากที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่เคยสุกเอาเผากิน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ วงดนตรีขนาดใหญ่ ที่มิได้ใช้แต่เครื่องลมทองเหลืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีไวโอลิน โอโบ และฟลูตเพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งครูพิมพ์ปฏิภาณ พึ่งธรรมจิตต์ เป็นผู้ควบคุมวง บรรเลงได้อย่างน่าทึ่ง มีการรวมตัวฝึกซ้อมมาอย่างดี ต่างจากวงที่เป็นเจ้าของ (ลิขสิทธิ์)เพลงที่ดีที่สุดในทัศนะของผม ซึ่งสิ่งแวดล้อมอันไม่เอื้ออำนวยได้ทำให้กลายเป็นวงดนตรีเฉพาะกิจไป บรรเลงได้โดยไม่ต้องซ้อม เพราะรู้ดีอยู่ว่าถึงอย่างไร เพลงของตนก็เหนือเพลงของคนอื่น
ผมมาเล่าเรื่องเมืองไทยครั้งนี้ จากจุดเริ่มต้นที่มาจากความชื่นชมที่มีต่อศรวณี โพธิเทศ แต่ก็อดจะจบลงด้วยความรู้สึกซึมเศร้าไม่ได้ว่า อะไรๆ ในบ้านเรา มันก็กลับตาลปัตรไปเสียหมด
————————————