ดนตรีเชมเบอร์ที่เบอร์ลิน: เรื่องของผู้ฟัง นักวิจารณ์ไม่เกี่ยว
ดนตรีเชมเบอร์ที่เบอร์ลิน: เรื่องของผู้ฟัง นักวิจารณ์ไม่เกี่ยว
เจตนา นาควัชระ
เบอร์ลิน 22 กันยายน 2556
ผมพอจับทางได้บ้างแล้ว รายการดนตรีเชมเบอร์ 2 รายการ รายการแรกเป็นการเดี่ยวไวโอลิน (โดยไม่มีเปียโนเล่นประกอบ) โดย คาโรลิน วิดมันน์ (Carolin Widmann) ที่ฟิลฮาร์โมนี โรงเล็ก เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 และรายการที่ 2 เป็นการแสดงของ โวกแลร์ ควอร์เตท (Vogler Quartet) โดยในครึ่งหลังมีนักเปียโนชาวรัสเซีย ชื่อ เอลิซาเวตา บลูมินา (Elisaveta Blumina) มาร่วมบรรเลงด้วย ที่คอนแซร์ตเฮาส์ (Konzerthaus) โรงเล็ก เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2556 การแสดงทั้งสองครั้งนับได้ว่าคุณภาพสูงมาก (ในรายการที่ 2 นั้น คนฟังเต็มโรง รายการที่ 1 แสดงใน “โรงเล็ก” แต่ขนาดใหญ่เกินธรรมดาจึงไม่เต็มโรง) ผู้คนที่ไปฟังแสดงความพอใจเป็นอย่างมาก ด้วยการปรบมืออย่างกึกก้อง ไม่มีหนังสือพิมพ์เบอร์ลินฉบับใดส่งนักวิจารณ์ไปฟังเลย นอกจากนั้นยังสังเกตได้ว่า ในการแสดงเมื่อวันที่ 21 กันยายนนั้น คอนเสิร์ตเฮาส์จัดการแสดงวงซิมโฟนีในโรงใหญ่ พร้อมกับการแสดงดนตรีเชมเบอร์ในโรงเล็ก ปรากฏว่ามีนักวิจารณ์ไปฟังวงซิมโฟนี ความจริงพวกเขาก็ไม่ได้ก้าวไปไกลกว่าเรานักหรอก
ผมเดาเอาว่าทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องดนตรีโดยตรง แต่อาจเป็นด้วยเหตุ 2 ประการ ประการแรก ผู้ฟังดนตรีคลาสสิกจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มฟังจะสนใจดนตรีวงใหญ่มากกว่าดนตรีเชมเบอร์ หนังสือพิมพ์จึงต้องสนองความต้องการของมหาชน ความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน หนังสือพิมพ์ก็ต้องไปที่นั่น แต่ผมก็อดคลางแคลงใจไม่ได้ว่า เขาหานักวิจารณ์มากกว่า 1 คนไม่ได้หรือ ในเมื่อหนังสือพิมพ์เกือบทั้งหมดก็จ่ายค่าเขียนวิจารณ์เป็นรายชิ้นอยู่แล้ว เรื่องของวงใหญ่-วงเล็กนั้นเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในบ้านเราเช่นกัน ผมพยายามวิงวอนสถานีวิทยุที่จัดรายการเพลงคลาสสิกมาหลายปีแล้วให้เพิ่มเวลาออกอากาศให้แก่ดนตรีเชมเบอร์ และลดเวลาดนตรีวงใหญ่ลงบ้าง แต่ก็ไม่เกิดผลอันใด ยิ่งตั้งแต่มีเครื่องเสียงชนิดดี การฟังดนตรีวงใหญ่ที่แผดเสียงอย่างกึกก้อง และวิศวกรเข้าใจที่จะเก็บความตื่นเต้นเหล่านั้นเอาไว้ในระบบอัดเสียงของเขา ก็จะยิ่ง “มันส์” มากขึ้นเท่านั้น ผมก็เพียงแต่วิงวอนต่อไปว่า ขอให้ลองเอา สตริง ควอร์เตท หมายเลขท้ายๆ ของเบโธเฟนไปฟังด้วยเครื่องอัดเสียงชนิดดีบ้าง แล้วท่านจะค้นพบว่าเสียงสวรรค์เช่นนั้น หาไม่ได้ในงานของคนอื่น และไม่มีวันที่วงดนตรีซิมโฟนีจะทำได้
แต่เหตุผลประการที่ 2 นั่นสิที่ทำให้ผมหนักใจ – และเศร้าใจ – นักดนตรีที่ไม่มีบริษัทเข้ามาช่วยจัดการให้ หรือไม่ยอมลงทุนจ้างบริษัทที่มีอำนาจและเครือข่ายในด้านธุรกิจการดนตรี ย่อมจะต้องเสียเปรียบเป็นธรรมดา หลายปีมาแล้ว มีนักวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ภาษาเยอรมันระดับชาติ ชื่อ ดี เวลท์ (Die Welt: แปลว่า “โลก”!) เขียนตำหนิ เซอร์ ไซมอน แรทเทิล (Sir Simon Rattle) วาทยกรประจำวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคว่าเป็นตัวทำลายเสียงแบบเยอรมันของวง (the German sound) ไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเท่านั้นก็มีนักวิจารณ์ชาวเยอรมันอื่นๆ ตามกันมาเป็นพรวน ผมคิดว่าประเด็นที่ยกขึ้นมาตำหนินั้นเป็นเรื่องของความเชื่อ (ถือโชคลาง!) อย่างหนึ่ง ผมว่าวงดนตรีที่เสียงเป็นเยอรมันที่สุด คือ วง ฟิลฮาร์โมเนีย ของอังกฤษในสมัยออตโต เคลมเพอเรอร์ (Otto Klemperer: 1885-1973) เป็นวาทยกรประจำในช่วงทศวรรษ 1960-1970 พวกนักวิจารณ์เยอรมันพวกนี้หาประเด็นอื่นไม่ได้แล้วหรือที่จะมาตำหนิวาทยกรชาวอังกฤษ ผมเคยสัมภาษณ์นักวิจารณ์ชาวอังกฤษระดับแนวหน้า คือ นอร์แมน เลเบรคชท์ (Norman Lebrecht) ซึ่งบอกผมอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ไซมอน แรทเทิล มีปัญหาตรงที่ว่า การกำกับวงของเขาไร้ทิศทาง ข้อวิพากษ์อย่างนี้แหละที่ดูจะมีแก่นสารมากกว่าเรื่องเสียงของวง แต่สิ่งที่ผมต้องการจะเล่าให้ฟังอยู่ที่ว่า นักวิจารณ์ชาวเยอรมันผู้ริเริ่มถล่มเซอร์ไซมอน แรทเทิล นั้น ต้องตกงาน (ผมได้เขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้วในบทความภาษาอังกฤษ ชื่อ “Music-Making versus the Commodification of Music: A Call to Enlightened Amateurs” ลงพิมพ์ที่Manusya. Journal of Humanities.[Vol. 11, No. 1, March, 2008])
ถ้าโลกของธุรกิจการดนตรีเล่นกันแรงขนาดนี้ ในทางกลับกัน เราก็จะเชื่อการสรรเสริญเยินยอจากนักวิจารณ์ไม่ได้เสมอไปเช่นกัน ในขณะนี้ (กันยายน – ตุลาคม 2556) โรงอุปรากร ดอยเชอ โอแพร์ แบร์ลิน (Deutsche Oper Berlin) กำลังจัดแสดงอุปรากรของ ริชาร์ด วากแนร์ (Richard Wagner) ชุด The Ring รวม 4 เรื่อง โดย เซอร์ ไซมอน แรทเทิล เป็นผู้กำกับดนตรี ผมมาเบอร์ลินช้าไปตั๋วขายหมดไปนานแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้ฟังของจริง หนังสือพิมพ์ประโคมขาวยกย่องการแสดงว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะเซอร์ไซมอน แรทเทิล นั้น ได้รับการสรรเสริญเยินยอแบบหลุดโลกไปเลย ขณะนี้เพิ่งแสดงไปได้ 2 เรื่อง แต่พวกนักวิจารณ์ก็ร่วมมือกันดีมากในการสถาปนาคุณแรทเทิลให้เป็นผู้เชี่ยวชาญวากแนร์เสียที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการยอมรับ ความจริงแรทเทิลอาจจะปรับตัวไปได้เรื่อยๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญเรื่องอุปรากรของวากแนร์ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ แต่ผมยังไม่ยอมเชื่อพวกนักวิจารณ์เหล่านี้ จนกว่าจะได้มีโอกาสฟังการแสดงจริง
บทวิจารณ์บทนี้จงใจเน้นเรื่องบริบทมากกว่าตัวบท (คือ ตัวดุริยางคนิพนธ์) จะขอกลับมาที่รายการเดี่ยวไวโอลิน ของ คาโรลิน วิดมันน์ เธอเคยมาแสดงที่ประเทศไทยแล้ว 2 ครั้ง เนื่องจากไม่มีผู้จัดการให้เธอ ผู้ที่ได้มีโอกาสฟังเธอจึงอยู่ในวงจำกัดมาก ครั้งแรกแสดงที่ตึกอักษรศาสตร์ (เก่า) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผู้ฟังสัก 30 คน ซึ่งน่าเสียดายมาก ครั้งที่ 2 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมันจัดเป็นการภายใน คนฟังยิ่งน้อยลงไปกว่านั้น ผมทึ่งกับเธอมาตั้งแต่การแสดงทั้ง 2 ครั้งนั้นแล้วว่า เทคนิคเธอยอดเยี่ยมมาก และความเข้าใจในเรื่องดนตรีสมัยใหม่ลึกซึ้งมาก เธอสามารถทำให้เราเห็นได้ว่า ดนตรีสมัยใหม่ให้ความหฤหรรษ์ได้ไม่แพ้งานยุคคลาสสิกและโรแมนติก สิ่งที่ค้างคาใจผมอยู่ก็คือ เมื่อเธอต้องเล่นดุริยางคนิพนธ์ของยุคคลาสสิกและโรแมนติก เธอติดเอาลีลาของดนตรีสมัยใหม่เข้ามาด้วยใช่หรือไม่
สำหรับการแสดงที่เบอร์ลินนั้น เธอเตรียมตัวมาดีมาก เมื่อรายการอยู่ในกรอบของมหกรรมดนตรี (Musikfest) ประจำปี และรายการของเธอเป็นรายการเดียวที่เป็นการเดี่ยวเครื่องดนตรีชิ้นเดียว เธอก็คงจะยิ่งสำนึกว่าผู้จัดให้เกียรติแก่เธอเป็นอย่างมาก เธอบรรเลงดุริยางคนิพนธ์รวม 4 บท 2 บทเป็นที่รู้จักกันดี อีก 2 บท เป็นงานที่หาฟังยากมาก ถือได้ว่าเป็นการจัดรายการที่ได้ไตร่ตรองมาดีมากแล้ว เธอเริ่มต้นด้วย Sonata for Solo Violin ของเบลา บาร์ทอค (Béla Bartók) ซึ่งบาร์ทอคได้รับเชิญให้สร้างงานชิ้นนี้ขึ้นจาก ลอร์ด เยฮูดี เมนูฮิน และเขียนเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1944 ดังที่ผมได้เคยเขียนเอาไว้แล้ว เมนูฮินตั้งใจจะช่วยให้บาร์ทอคมีรายได้ เพราะเขาลำบากมากในช่วงที่ลี้ภัยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมนูฮินไม่ได้คาดฝันว่าบาร์ทอคจะทุ่มเทให้กับงานและสร้างงานที่ถือได้เลยว่าเป็นจุดสุดยอดของงานที่สร้างขึ้นสำหรับเดี่ยวไวโอลิน สุดยอดใน 2 แนว คือ บาร์ทอคใช้ศักยภาพของเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปจนสุดทาง และในขณะเดียวกันก็พิสูจน์ให้(โลก)เห็นว่า ไวโอลินตัวเดียวนี่แหละที่จะสร้างโลกของดนตรีที่บอกถึงความหลากหลายของประสบการณ์มนุษย์ และความลุ่มลึกของจิตมนุษย์ได้อย่างดีที่สุด (ผมจึงต้องขอตอกย้ำความเชื่อของผมไว้อีกครั้งหนึ่งว่า ดนตรีที่ประทับใจที่สุดไม่จำเป็นจะต้องใช้เครื่องดนตรี 80-100 ชิ้น!) มีประเด็นเล็กๆ ที่ เมนูฮิน ไม่เห็นด้วยกับบาร์ทอค คือ การที่บาร์ทอคกำหนดให้ไวโอลินโดยใช้เสียงที่เรียกว่า “quarter tone” คือแบ่งช่องระหว่างโน้ตสากลซอยออกไปอีกจากที่ใช้กันอยู่ในระดับที่เรียกว่า semitone เมนูฮินเกรงว่าผู้ฟังจะเข้าใจผิดว่านักไวโอลินเล่นเพี้ยน จึงขอให้บาร์ทอคแก้ร่างแรก ศาสตราจารย์วิดมันน์ (เธอเป็นศาสตราจารย์ด้านไวโอลินอยู่ที่สถาบันดนตรีชั้นสูงเมืองไลฟ์ซิค) ขออนุญาตไม่ตามเมนูฮิน แต่ขอกลับไปใช้ต้นฉบับดั้งเดิมของบาร์ทอค การใช้ quarter tone นี้ ใช้เฉพาะบางตอนในกระบวนสุดท้าย ผมฟังแล้วก็ไม่เห็นขัดหูแต่อย่างใด เพราะแต่เดิมมาการเล่นเครื่องสายไม่ได้ยึดเสียงที่ตายตัวตรงกับโน้ตเปียโน แต่จะเล่นตามความเหมาะสมของแต่ละบันไดเสียงเพื่อความไพเราะ
อาจารย์วิดมันน์เล่นดุริยางคนิพนธ์บทนี้เป็นบทแรก และออกท่าทางมาก เช่นมีการส่ายตัว (ซึ่งนักไวโอลินส่วนใหญ่ทำอยู่แล้ว ไม่มาก ก็น้อย) และแถมด้วยการย่อตัวด้วย (คล้ายๆ กับนักดนตรียิปซี หรือนักดนตรีป็อป หรือ อาจารย์สุทิน เทษารักษ์ ผู้เป็นขวัญใจของผมในยามเด็ก) เธอพยายามจะสะกดผู้ฟังด้วยการเล่นและการออกท่าทางว่า นี่คือ พิธีกรรมอย่างหนึ่งที่มีความขลัง เทคนิคของเธอยอดเยี่ยมมาก ไม่ว่าตัวบทจะกำหนดให้ทำเสียง หรือให้เล่นแบบใดเธอทำได้หมด มันเป็นตัวอย่างของการเล่นไวโอลินที่สมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างหรือต้นแบบให้แก่ผู้ที่เรียนและเล่นไวโอลินได้ (ก็เธอเป็นศาสตราจารย์อยู่แล้ว) ผมลองย้อนกลับไปคิดถึงการเล่นของ เยฮูดี เมนูฮิน เองที่ได้มีการบันทึกเป็นภาพยนตร์ไว้ ดูจะต่างกันอยู่ไม่น้อย เมนูฮิน ไม่ถือว่าความเข้มข้นของดนตรีต้องเสริมด้วยลักษณะทางกายภาพของผู้แสดง การที่ผู้ชมได้เห็นว่าผู้เล่นต้องต่อสู้กับความยากลำบากทางเทคนิคเพียงใด ทำให้เกิดความทึ่งที่ทำให้ขาดสมาธิในการที่จะเข้าถึงเนื้อหาของงาน และก็ประเด็นนี้เองที่ศาสตราจารย์วิดมันน์ตกหลุมพรางของตัวเอง เพราะเมื่อมาถึงกระบวนที่ 3 “Melodia-Adagio” บาร์ทอคตัดสินใจที่จะเลิกทำตัวเป็นทรราชกับนักดนตรีเสียที แล้วเปลี่ยนจากเทคนิคไวโอลินชั้นสูงมาสู่ทำนองที่สุดแสนจะเรียบง่าย และไม่เรียกร้องเทคนิคชั้นสูงในการบรรเลงแต่อย่างใด การบรรเลงของ วิดมันน์ ทำให้เรามองการเปลี่ยนแปลงนี้ในรูปของ การปลดปล่อยเชิงกายภาพ แทนที่จะเป็น ความผ่อนคลายทางอารมณ์ ถ้าจะทาบเทคนิคกันแล้ว ช่วงที่เมนูฮินอัดเสียงเอาไว้นั้น เทคนิคของท่านไม่ยอดเยี่ยมเท่าในตอนหนุ่มแล้ว อาจารย์วิดมันน์เหนือกว่าแน่ในเรื่องนี้ แต่ในบรรดานักไวโอลินทั้งหลาย เรื่องของความเป็นธรรมชาติเห็นจะไม่มีใครเหนือเยฮูดี เมนูฮินไปได้ เมนูฮินเคยพูดถึงเรื่อง “นักไวโอลินที่เล่นไปตามธรรมชาติ” (natural violinists) เอาไว้ว่า ท่านเคยตามไปเรียนไวโอลินกับอาจารย์ของท่านคือ จอร์จ เอเนสกู (George Enesco: 1881-1955) ที่ประเทศโรมาเนีย และได้เห็นนักไวโอลินยิปซีเล่นดนตรีกันอย่างเป็นธรรมชาติแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเป็นพิเศษเลย
อาจารย์วิดมันน์อาจจะเป็นคนที่คิดมากเกินไป โดยอาจลืมไปว่า บาร์ทอค คือผู้คงแก่เรียนที่ฝากใจไว้กับชาวบ้าน งาน 2 บทที่เธอบรรเลงต่อไปต้องการการวิเคราะห์จากศาสตราจารย์ผู้คงแก่เรียนอย่างแน่นอน นั่นคือ Sonata for Solo Violin ของ แบร์น อโลอิส ซิมเมอร์มันน์ (Bern Alois Zimmermann: 1919-1970) คีตกวีคนใดที่ตามหลังบาร์ทอคมายากที่จะหลีกพ้นจากต้นแบบของบาร์ทอคได้ซิมเมอร์มันน์ได้เปรียบคีตกวีคนอื่นๆ เพราะเขามีประสบการณ์ในการสร้างงานดนตรีเพื่อใช้ประกอบละครวิทยุ โทรทัศน์ และละครเวที เรียกได้ว่า เขามิใช่ผู้คงแก่เรียนที่หันหลังให้กับสิ่งที่เรียกกันเป็นภาษาเยอรมันว่า “Gebrauchsmusik” (ดนตรีเพื่อประโยชน์ใช้สอย) ซึ่งเป็นคนละแนวกับบาร์ทอคที่คงแก่เรียนจากรากฐานที่มาจากดนตรีพื้นบ้าน ซิมเมอร์มันน์สามารถที่จะปรับ “ดนตรีประกอบการแสดง” ต่างๆ ให้เป็นงานที่คงแก่เรียนได้ เพราะดนตรีเหล่านั้นมิใช่ดนตรีที่เล่าเรื่อง หรือบอกความโดยตรง แต่สื่อความแบบที่เรียกว่า “suggestive” เมื่อมาปะทะกับไวโอลินตัวเดียวเขาจะทำอย่างไร สิ่งแรกที่ทำก็คือ ใช้ศักยภาพของเครื่องดนตรีให้เต็มที่ แต่ก็ดูจะไปให้ไกลเกินกว่าบาร์ทอคได้ยาก ดนตรีของเขามีลักษณะชวนให้คิดตาม ให้รู้สึกตาม โหยหาเหมือนกับพยายามค้นหาสิ่งที่เร้นลับบางประการ อาจารย์วิดมันน์เล่นดุริยางคนิพนธ์บทนี้ได้ดีกว่างานของบาร์ทอคอย่างแน่นอน เธอแปลการแสวงหาของคีตกวีให้เป็นการทดลองเล่นไวโอลินในแบบต่างๆ ได้ทั้งการทดลองเทคนิคที่หลากหลาย ได้ทั้งการใช้เสียงที่หลากหลายสื่ออารมณ์ที่หลากหลาย ถือได้ว่าเป็นงานที่ท้าทายนักไวโอลินในหลายด้าน ไม่ใช่งานที่ลงตัวแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็น “โจทย์วิจัย” ที่น่าสนใจมากสำหรับท่านศาสตราจารย์ ผมฟังดนตรีวันนี้ไปด้วยความตื่นใจ โดยเพิ่งจะมาอ่านประวัติของซิมเมอร์มันน์ภายหลังว่า เขากระทำอัตวินิบาตกรรม หมายความว่าเมื่อเขาหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ ก็จบการแสวงหาเสียเลย ก่อนจะจบชีวิตลง เขาบันทึกเอาไว้ว่า “ฉันหันหลังกลับไป และมองเห็นแต่ความอยุติธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์นี้” เราจะมาโมเมเชื่อมโยงหาสายโยงใยระหว่างดนตรีกับชีวิต หรือการจบชีวิตไม่ได้หรอก ไวโอลินโซโลบทนี้ไม่สามารถบอกความอันใดได้ว่าเขาจะจบชีวิตลงเช่นนั้น
งานซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอีกชิ้นหนึ่ง คือ de terrae fine ของดุริยกวีชาวออสเตรีย เก-ออร์ก ฟรีดริค ฮาส (Georg Friedrich Haas: เกิด 1953) ชื่องานแปลเป็นไทยได้ว่า “ว่าด้วยจุดจบของโลก” ชื่อนั้นอาจจะน่ากลัว ถ้าเป็นงานที่ใช้เครื่องดนตรี 100 ชิ้น ก็คงจะต้องมีการใช้ประโยชน์จากเครื่องดนตรีต่างๆ ให้เต็มที่ แต่นี่เป็นงานสำหรับไวโอลินเดี่ยวที่ไม่มีแม้แต่เปียโนมาร่วมบรรเลงด้วย หน้าที่ของทั้งผู้ประพันธ์และผู้แสดงก็ย่อมจะยากยิ่งขึ้น ฮาส ใช้หลักการประพันธ์ที่เป็นเรื่องของเทคนิคเกินความเข้าใจของผู้ที่มิได้เรียนดนตรีชั้นสูง โดยมีการซอยเสียงออกไปให้ละเอียดกว่าระบบดนตรีสากลที่ใช้กันอยู่ คือเป็นไปในรูปของ microtones ผลที่ออกมาเมื่อใช้เล่นด้วยไวโอลิน คือ ทำให้เกิดความโหยหวน ท่านศาสตราจารย์ของเราดูจะสนใจในเรื่องนี้มาก (นับตั้งแต่การที่เธอย้อนกลับไปหาระบบเสียงของบาร์ทอคที่ ลอร์ด เยฮูดี เมนูฮิน ปฏิเสธ) แม้จะแก่วิชา แต่ฮาสไม่มุ่งแสดงความคงแก่เรียน แต่กลับเน้นการใช้เสียงอันหลากหลายมากในการกระตุ้นความรู้สึกของผู้ฟัง ทั้งๆ ที่เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติอันงามงดของแคว้น ฟอร์อาร์ลแบร์ก (Voralberg) ของออสเตรีย แต่ฮาสกลับดูจะมองเห็นแต่ความหม่นหมองของชีวิต เขาตั้งจุดหมายปลายทางของการสร้างสรรค์เอาไว้ว่า “จะแสดงออกซึ่งสภาวะทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งสามารถชักจูงให้ผู้อื่นยอมรับว่าเป็นสภาวะของตนได้ด้วย” อาจารย์วิดมันน์จะปรับคำประกาศลัทธิเช่นนี้ให้เป็นวาทกรรมเชิงปรัชญาและคำประกาศลัทธิ (manifesto) ได้อย่างไร เธอเล่นได้ทุกโน้ตตามที่คีตกวีกำหนดไว้ แค่นี้ก็หนักมากแล้ว ส่วนใครจะรับเป็นสมบัติกลางหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
รายการแสดงจบลงด้วยการกลับไปหาต้นแบบของงานไวโอลิน ซึ่งวงดนตรีตะวันตกยอมรับนับถือกัน นั่นคือ Sonatas & Partitas ชอง โยฮัน เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach: 1685-1750) โดยเลือกบทที่โด่งดังมากคือ Partita in D minor ซึ่งลงท้ายด้วยกระบวนที่มีชื่อว่า Chaconne การเริ่มต้นด้วยบาร์ทอค และลงท้ายด้วยบาค ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของประเพณีดุริยางคศิลป์อันยิ่งใหญ่ของตะวันตก ถ้าศตวรรษที่ 18 มีภูเขาเอเวเรสท์ คือ บาค ศควรรษที่ 20 ก็มีภูเขาสูงที่ใกล้กัน คือ บาร์ทอค และในเมื่อมีศิลปินรุ่นหลังมาสานต่อ คือ ซิมเมอร์มันน์ กับ ฮาส วงการดนตรีตะวันตกก็มีสิทธิที่จะตั้งความหวังเอาไว้ได้ว่า พวกเขาไม่มีวันที่จะอับจน และศตวรรษที่ 21 ก็คงจะมีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน อาจารย์วิดมันน์จัดรายการแสดงของเธอที่มีความหมายแฝงไว้หนักแน่นมาก
เมื่อจบด้วยบาค จะเล่นบาคอย่างไรที่จะทำให้ท่านสนทนากับศตวรรษที่ 20 และ 21 ได้ อาจารย์วิดมันน์ตั้งเข็มเอาไว้ในใจว่า ในเมื่อเราเปลี่ยนโน้ตไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนวิธีการบรรเลงให้ได้ และสิ่งที่ฟ้องว่าเธอพยายามแล้วไม่สำเร็จนักก็คือ ท่อน Chaconne ในตอนท้าย ใครๆ ก็ยอมรับแล้วว่า นี่คือไวโอลินโซโลที่ยากมากทั้งในด้านเทคนิค และในด้านการตีความ เพราะเนื้อในคือสมาธิแห่งจิตวิญญาณ ตั้งแต่เริ่มแรก อาจารย์วิดมันน์พยายามใช้ความดัง-ค่อย และ ช้า-เร็ว ที่หลากหลายมาก ทำให้ดนตรีไม่ลื่นไหล บางครั้งอาจจะต้องเรียกการเล่นของเธอว่าเป็นการ “ทึ้ง” บาค โดยเฉพาะในท่อนสุดท้าย การเล่นเช่นนี้เสียรสไปไม่น้อย ลอร์ดเมนูฮินเคยกล่าวเอาไว้ถึงงานของบาคบทนี้ว่า “ในตอนที่ผมเป็นเด็ก และตัดสินใจจะเอาจริงเอาจังกับไวโอลิน ผมฝันไปว่า ถ้าผมได้มีโอกาสเล่นชาคอนน์ของบาคอย่างเปี่ยมหัวใจในวิหารซิสทีนา โดยมีจิตรกรไมเคลแอนเจโลจ้องมองอยู่แล้วละก็ อะไรๆ ที่เลวร้ายในโลกนี้ก็จะอันตรธานไปสิ้น” ในฟิลฮาร์โมนีโรงเล็กในคืนนั้น เราได้ประสบการณ์ที่ต่างออกไป แต่เป็นประสบการณ์ที่มีน้ำหนักทางดนตรีมาก นั่นก็คือ ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีอันยิ่งใหญ่ที่สื่อประสบการณ์มนุษย์ได้มากมายหลากหลายนัก แต่เราอาจจะมิได้สัมผัสประสบการณ์เชิงลึกจริงๆ มากนัก การที่ไม่มีนักวิจารณ์ไปฟังก็อาจจะดีแล้ว เขาอาจจะชอบใจ หรือไม่ชอบใจด้วยวิธีการที่ไม่น่าเชื่อถือได้
รายการ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2556 จัดแสดงที่ห้องแสดงดนตรีเชมเบอร์ของ คอนเสิร์ตเฮาส์ ผมได้กล่าวถึงขาประจำของคอนเสิร์ต เฮาส์ ซึ่งครั้งหนึ่งอยู่ในเขตเบอร์ลินตะวันออก และผมเองก็เคยได้มีประสบการณ์ตรงในการฟังดนตรีที่นั่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 ประเด็นก็คือ กลุ่มผู้ฟังดนตรี (ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งนักวิจารณ์คนใด) ที่นั่น ส่วนหนึ่งเป็นรุ่นอาวุโสที่ผ่านยุคคอมมิวนิสต์มาแล้ว ซึ่งเป็นยุคที่อาจจะเลวร้ายในด้านอื่นๆ แต่ไม่เคยคิดจะฆ่าดนตรีให้ตาย (ดู บทความภาษาอังกฤษของผมชื่อ “The Stand–In Who Stole Away the Show” ซึ่งเผยแพร่ไว้บนเว็บไซต์เดียวกันนี้) รายการครั้งล่าสุดนี้ยืนยันได้ว่า ผู้จัดรายการและนักดนตรีเป็นพวกที่คิดลึก คือทำทีว่าจะเริ่มต้นด้วยดุริยางคนิพนธ์ที่เข้าถึงง่ายที่สุด แล้วก็พาเราไปจนสุดทางด้วยงานที่อาจจะเข้าใจยาก และทำท่าว่าจะหลุดโลกไปเลย วงการดนตรียอมยกให้ โยเซฟ ไฮเดิน (Josef Haydn: 1732-1809) เป็นผู้ให้กำเนิดประเภทของงานดนตรีที่เรียกว่า สตริงควอร์เตท (ซึ่ง ลอร์ด เยฮูดี เมนูฮิน กล่าวไว้ด้วยความหนักแน่นว่า เป็นประเภทของดุริยางคนิพนธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อารยธรรมตะวันตกได้มอบไว้ให้แก่โลก) รายการวันนี้จึงตั้งใจเริ่มที่จุดเริ่มต้น คือกลับไปหา สตริงควอเตทชุดแรกที่ไฮเดนสร้างขึ้น เรียกว่าเป็นลำดับงานว่า Opus 1, No. 3 ไฮเดินมิใชคนมุทะลุ เมื่อเริ่มต้นหาทางใหม่ก็ยังไม่แหวกแนวเสียทีเดียว แต่เดิมมาเครื่องสายจะเล่นร่วมกันเป็น 3 แนว คือ มีไวโอลินหนึ่ง ไวโอลินสอง เชลโล และกำหนดให้วิโอลาเล่นตามเชลโล โดยยังไม่แยกตัวออกมาเป็นแนวที่ 4 งานรุ่นแรกๆ นี้ ไฮเดน ยังเรียกว่าเป็น ดิแวร์ติเมนโต (Divertimento) (ถ้าเป็นพหูพจน์เรียกว่า Divertimenti) แปลตรงตัวว่าสิ่งชวนให้เพลิดเพลิน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ฟังแล้วอดอิจฉาคนสมัยศตวรรษที่ 18 ไม่ได้ว่า “Pop” ของพวกเขามันช่างละเมียดเสียนี่กระไร ไม่ช้าไม่นานไฮเดินก็จะสร้างสตริงควอเตทแบบมี 4 ทางจริงๆ ขึ้นมา ซึ่งอัจฉริยะรุ่นหลานแบบโมซาร์ตเห็นได้ทันทีว่าเป็นหนทางแสดงออกซึ่งความเป็นดนตรีและอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อโมซาร์ตแต่งสตริงควอเตทของตนเองบ้าง เขาก็อุทิศสตริงควอเตทชุดหนึ่งให้ไฮเดิน (ไฮเดินยกย่องโมซาร์ตมาก เคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงบิดาของโมซาร์ตว่า “ผมขออ้างพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานว่า ลูกชายของท่านคือนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”) ยุคคลาสสิกเป็นยุคทองในหลายด้าน ไม่ใช่ในเรื่องของงานสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ในเรื่องของวงการ ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก เปี่ยมด้วยฉันทาคติ เด็กก็เคารพผู้ใหญ่ และเข้าใจที่จะคิดต่อจากท่าน ฟังดนตรีบทแรกแล้วทำให้รู้สึกอิ่มเอิบใจ ยิ่งถ้าได้รู้ถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมด้วยแล้ว ก็จะยิ่งดื่มด่ำกับดนตรีคลาสสิกยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่า ผู้บรรเลงคือ โวคแลอร์ควอร์เตทจับวิญญาณของงานของไฮเดินได้อย่างสมบูรณ์ การแสดงดุริยางคนิพนธ์บทนี้เป็นมากกว่าการอุ่นเครื่อง ผมคิดว่าเป็นการไหว้ครูมากกว่า
ดุริยางคนิพนธ์ชิ้นที่ 2 ที่นำมาบรรเลงคือ String Quartet No. 8 in C minor, Opus 110 ของ ดมิทริ ชอสตาโควิทช์ (DmitriShostokovich: 1905-1975) พอฟังไปสักพักก็รู้ได้ทันทีว่า ชอสตาโควิทช์อ้างผลงานของตนเองมาหลายชิ้น และอ้างเป็นช่วงยาวเสียด้วย งาน 2 ชิ้นดังกล่าวผมรู้จักดี จำได้ติดหู เพราะเคยประทับใจกับการฟังการบรรเลงสดมาแล้ว บทแรกคือ เชลโลคอนแชร์โต หมายเลข 1 ซึ่งผมเคยได้ฟังสดถึง 2 ครั้ง ทั้ง 2 ครั้งยอดนักเชลโลชาวรัสเซีย คือ มัสติสลาฟ รอสโทรโปรวิช (Mstislaw Rostropovich: 1927-2007) เป็นผู้เดี่ยวเชลโล ครั้งแรกร่วมกับวงฟิลฮาร์โมเนียลอนดอน เมื่อราวปี ค.ศ. 1960 และครั้งที่สองร่วมกับวง แนชัลนัล ซิมโฟนี ออร์เคสตรา (National Symphony Orchestra) ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อปี ค.ศ. 1981 เมื่อกลับไปอ่านสูจิบัตรจึงได้ทราบว่า ชอสตาโควิทช์มีปัญหากับทางรัฐบาลโซเวียตที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการประพันธ์ดนตรีของเขา โดยกำกับมิให้เขียนงานแบบสมัยใหม่เยี่ยงชาวยุโรปตะวันตก แต่จะต้องเขียนงานที่ประชาชนคนธรรมดาเข้าถึง เชลโลคอนแชร์โตนั้นผ่านการตรวจตราของทางการไปแล้ว ส่วนงานชิ้นที่ 2 ที่ผมรู้จักอยู่แล้วคือ เปียโนทริโอ หมายเลข 2 ซึ่งผมเคยได้ฟัง 2 ครั้งเช่นกันที่กรุงเทพฯ นี่เอง ครั้งแรกนักไวโอลินไทยเล่นร่วมกับนักเชลโลชาวอิตาเลียน และนักเปียโนชาวอเมริกัน และครั้งที่ 2 นักดนตรีไทยเล่นเองทั้ง 3 คน งานทั้ง 2 ชิ้นให้อารมณ์ต่างกัน งานเชลโลคอนแชร์โต มีทำนองหลักที่หนักแน่น จำได้ง่ายขึ้นใจ แต่ท่อนช้าเป็นทำนองระคนเศร้าที่จับใจมาก ชอสตาโควิทช์ ไม่ใช่ยิว แต่ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อชาวยิวมาก ทั้งในส่วนที่ถูกพวกนาซีทำลายล้าง และต่อมาถูกกดขี่ข่มเหงโดยสตาลิน ในงานทั้ง 2 ชิ้นนี้ เขาได้นำทำนองเพลงยิวแนวพื้นบ้านมาใส่ไว้อย่างแยบยล ทำให้งานประทับใจ และอาจบาดใจคนที่รู้ประวัติศาสตร์ยุโรปในต้นศตวรรษที่ 20 ดี โฟกแลร์ควอร์เตทเล่นงานชิ้นนี้ได้อย่างมีรสนิยม ในตอนที่รุนแรงก็ไม่ทำให้รุนแรงเกินพอดี ในช่วงที่เศร้าก็ไม่จงใจจะเรียกน้ำตา โดยเฉพาะท่วงทำนองที่คีตกวีอ้างมาจากเพลงพื้นบ้านของชาวยิวนั้น นักดนตรีทั้งสี่ยกระดับมันขึ้นมาจากการคร่ำครวญของชาวบ้านให้เป็นโศกนาฏกรรมเลยทีเดียว การที่ชอสตาโควิทช์กำหนดให้วงควอร์เตทเล่นทั้งห้ากระบวนต่อเนื่องกันไปทำให้ได้อารมณ์เป็นอย่างดีโดยไม่มีการขัดจังหวะ
งานชิ้นสุดท้าย Piano Quintet in F minor ของ เมียทซิสลาฟ ไวน์แบร์ก (Mieczysław Weinberg: 1919-1996) คีตกวีผู้นี้เป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว เกิดที่วอร์ซอว์ ต้องเร่ร่อนหนีพวกนาซีไปอยู่ที่ทาชเคนท์ (ในขณะที่ครอบครัวถูกพวกยิวทำลายล้าง) จากทาชเคนท์ด้วยความช่วยเหลือของชอสตาโควิทช์ เขามาตั้งรกรากอยู่ในมอสโคว์ ทำงานเป็นคีตกวีอิสระ แต่ด้วยความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องต่อต้านฟาซิสต์ ทำให้เขาต้องเกิดปัญหากับทางการของโซเวียต ซึ่งชอสตาโควิทช์ก็พยายามช่วยเหลือได้บ้าง ช่วยไม่ได้บ้าง เจ้าตัวไวน์แบร์กเองประกาศตัวว่าเป็นศิษย์ของชอสตาโควิทช์ และเขาก็ได้รับความไว้วางใจจากนักดนตรีรุ่นพี่ ซึ่งมักจะนำงานที่แต่งใหม่มาให้เขาได้เห็นเป็นคนแรกอยู่เสมอ การนำเปียโนมาเล่นกับสตริงควอร์เตทนั้น เป็นทางที่ทำให้เกิดดุริยางคนิพนธ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นหลายชิ้น นับตั้งแต่ เปียโนควินเตทของ รอแบร์ท ชูมันน์ ผ่านงานของโยฮันเนส บราห์มส์ มาจนถึงควินเตทของชอสตาโควิทช์ (Opus 18) งานประเภทเปียโนควินเตทมีปัญหาในการบรรเลง โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างความสมดุล (balance) ระหว่างเปียโนกับวงควอร์เตท เพราะนักเปียโนที่ไม่จัดเจนในเรื่องของการเล่นดนตรีประเภทเชมเบอร์ จะลืมตัวว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็เลยแปลงงานให้เป็นเปียโนคอนแชร์โตเสียเลย โดยมีดนตรีวงเล็กมาก (แค่สี่คน) เป็นตัวเล่นประกอบ นักเปียโนที่มาแสดงร่วมกับ โฟลแลร์ควอร์เตทในครั้งนี้เป็นสาวชาวรัสเซีย ดังที่ได้เอ่ยนามมาแล้วในตอนต้น เธอเล่นแนวคอนแชร์โตจริงๆ และเรี่ยวแรงของเธอก็ดูจะมีอยู่มากล้น ผมคิดว่าเธอมองงานนี้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่งฝีมือ (virtuosity) ของนักดนตรีมากเกินไป โฟกแลร์ควอร์เตทพยายามจะตอบสนองนักเปียโน แต่ก็ไม่ได้สุดทาง เพราะเนื้อในของดนตรีมิได้เป็นเช่นนั้น คีตกวีต้องการแต่เพียงจะ “ระบายอารมณ์” มิใช่ “ระเบิดอารมณ์” ความหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของชาวยิวในฐานะผู้ถูกกระทำ อาจทำให้งานชิ้นนี้คับแคบเกินไป มีบางตอนเท่านั้นที่ดุริยกวีสื่อความได้อย่างยอดเยี่ยม คือในตอนท้ายของกระบวนที่ 2 (Largo) ที่ใช้วิโอลาเป็นตัวนำ ความทุกข์ที่ศิลปินได้ผ่านมา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับชาวยิว ได้แปรสภาพไปเป็นความทุกข์ของมนุษยชาติได้ ดนตรีที่ยิ่งใหญ่มิได้เพียงกระตุ้นอารมณ์ หรือดึงดูดให้เรามีอารมณ์ร่วม ดนตรีที่ยิ่งใหญ่เป็นตัวแทนของอารมณ์ความรู้สึกของมนุษยชาติ ไวน์แบร์กไปถึงจุดนั้นได้แต่เป็นชั่วครู่ชั่วยาม แต่ก็ได้ฉายแววให้เราเห็นแล้วว่า เขาน่าจะเป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าเขาคิดได้กว้างกว่าที่เขาทำอยู่
ดนตรีเชมเบอร์ 2 รายการที่ผมเล่ามาให้ฟัง บ่งบอกอาการบางอย่างของวงการดนตรีตะวันตก และอาการดังกล่าวเป็นทั้งของผู้ประพันธ์ดนตรีและของผู้เล่น นั่นก็คือ เขายังไปไม่ถึงขั้นที่จะสร้างงานให้ลื่นไหลออกมาเป็นธรรมชาติ เขาอาจจะคิดมากเกินไป ไตร่ตรองมากเกินไป ผมมีจุดบอดของผมซึ่งคงจะแก้ได้ยากเสียแล้ว ผมยกโมซาร์ตไว้เหนือเบโธเฟน ท่านหลังนี้คิดมากเกินไปเสียจนในบางขณะดนตรีของท่านออกมาแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติ ในเมื่อมีไม่มีนักวิจารณ์จะเถียงด้วย ผมก็ขอตั้งประเด็นเอาไว้โต้เถียงกับเพื่อนฝูงก็แล้วกัน