บี.เอส.โอ บรรเลงสุนทราภรณ์ : จาก “ตื่นใจ” ไปสู่ “จับใจ” : เมื่อไรจะไปถึง “ครองใจ”
บี.เอส.โอ บรรเลงสุนทราภรณ์ : จาก “ตื่นใจ” ไปสู่ “จับใจ” : เมื่อไรจะไปถึง “ครองใจ”
เจตนา นาควัชระ
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ใครก็ตามที่ชื่นชอบเพลงสุนทรภรณ์และคุ้นชินกับดนตรีคลาสสิกอยู่บ้างก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เพลงบางเพลงนั้นถ้าร้องออกมาเป็นแบบอุปรากรหรือกึ่งอุปรากร และมีวงดนตรีซิมโฟนีขนาดใหญ่คลอไปด้วย คงจะได้รสชาติที่ไม่แพ้ต้นฉบับที่ครูเอื้อและผู้ร่วมงานของท่านสร้างขึ้นมา แม้แต่เพลงที่ครูเอื้อร้องเองด้วยลีลาแบบไทยที่ท่านถนัด เช่น “ยอดดวงใจ” นั้น มีหลายตอนที่ชวนให้ร้องออกมาเป็นแนวตะวันตกได้ เช่นเดียวกับ “ยามรัก” ที่ ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นผู้ร้อง ก็มีหลายช่วงหลายตอนที่เปิดทางให้ผู้ร้องแนวตะวันตกพาเพลงไปให้ถึงจุดที่ไพเราะกินใจผู้ฟังได้เช่นกัน สมมุติฐานของผมแต่เดิมมาก็คือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาด้านดนตรีคลาสสิกตะวันตกมาอย่างลึกซึ้งในฐานะศิษย์ของพระเจนดุริยางค์ ที่โรงเรียนพรานหลวง และก็ได้เล่นดนตรีในฐานะนักไวโอลินแนวหนึ่งอยู่ในวงดนตรีคลาสสิกของกรมศิลปากรอยู่ถึง 16 ปี ซึ่งพระเจนดุริยางค์อีกเช่นกันเป็นผู้กำกับวง นอกจากนั้น ความจัดเจนในด้านทฤษฎีดนตรี โดยเฉพาะในเรื่องของ ear training ก็เป็นที่ประจักษ์อยู่ด้วยผลงานการจดเพลงไทยเดิมลงเป็นโน้ตสากล อันจัดได้ว่าเป็นมรดกของชาติที่สำคัญที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ข้อสรุปของผมก็คือ ในขณะที่ครูเอื้อแต่งเพลงของท่านขึ้นมานั้น ท่านคงจะได้ยินเสียงดนตรีคลาสสิกตะวันตกในโสตประสาทของท่านอยู่แล้ว แต่ท่านไม่ได้มีโอกาสที่จะนำวงซิมโฟนีมาบรรเลงเพลงที่ท่านและเพื่อนร่วมงานของท่านแต่งขึ้นให้กับกรมโฆษณาการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2482 เป็นต้นมา ซึ่งวงดนตรีกรมโฆษณาการเป็นวงดนตรีแจ๊สประเภทบิ๊กแบนด์ (big band) แต่สำหรับวงดนตรีกรมโฆษณาการ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์ และเวลาเล่นนอกกรอบของราชการก็จะใช้ชื่อว่า วง “สุนทราภรณ์” นั้น เสียงที่เปล่งออกมาด้วยเครื่องเป่าในบางครั้งมีลีลาราวกับเครื่องสายของวงซิมโฟนี ซึ่งประเด็นนี้ได้มีการหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในการสัมมนา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน อันที่จริงครูเอื้อเองท่านก็ใช้ไวโอลินของท่านนำวงบิ๊กแบนด์ และก็สีไวโอลินคลอนักร้องของท่านตลอดมา
ความคิดที่จะได้เห็นการนำวงซิมโฟนีขนาดใหญ่มาบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์อยู่ในใจพวกเรามานาน และพวกเราที่ไม่ใช่นักดนตรีก็พยายามที่จะชักชวนและผลักดันให้ผู้ที่เล่าเรียนมาทางดนตรีได้ทดลองฝีมือในการปรับเพลงสุนทราภรณ์เพื่อใช้บรรเลงกับวงดนตรีซิมโฟนีให้ได้ วงดนตรีกรมศิลปากรเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องนี้ แม้จะยังทำไม่ได้เต็มรูปและเต็มที่ แต่ก็เป็นกำลังใจให้แก่นักร้องเป็นอันมาก เพ็ญศรี พุ่มชูศรี กล่าวไว้หลายครั้งว่า เวลาที่ท่านร้องเพลงกับวงขนาดใหญ่ของกรมศิลปากร ท่านจะได้รับกำลังใจที่ทำให้ท่านร้องได้อย่างสุดฝีมือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นรอรรถ จันทร์กล่ำ แห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ที่รับลูกในเรื่องนี้ไปคิดอย่างจริงจังและลึกซึ้งต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และก็ได้ทดลองบรรเลงกับ บี.เอส.โอ. มาแล้ว ในการแสดงกลางแจ้งวันอาทิตย์ที่สวนลุมพินี อาจารย์นรอรรถได้เปรียบนักดนตรีอื่นๆ มาก เพราะได้รับการศึกษาในด้านดนตรีคลาสสิกมาเป็นอย่างดี เป็นนักไวโอลินที่สามารถเล่นคอนแชร์โต้ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี (ผมเคยฟังอาจารย์นรอรรถเดี่ยวไวโอลินคอนแชร์โต้ของ Mendelssohn ที่หอประชุมจุฬาฯ เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว และยังจำฝีมือของเขาได้อย่างดี) ในฐานะวาทยกร อาจารย์นรอรรถคือหมายเลขหนึ่งของประเทศไทยในขณะนี้ (เรื่องของดนตรี มิใช่เรื่องที่จะวัดกันด้วยใบปริญญา หรือรางวัลที่เก็บเกี่ยวมาจากที่ต่างๆ ) เขากำกับการบรรเลงงานของ Beethoven และของ Brahms ได้อย่างน่าประทับใจ เหนือวาทยกรชาวไทยทั้งหมดที่ผมเคยฟังมา นอกจากนั้น อาจารย์นรอรรถยังเติบโตมาในครอบครัวที่รักเพลงไทยสากล โดยเฉพาะสุนทราภรณ์ ได้ซึมซับเพลงประเภทนี้มาตั้งแต่เด็ก และตนเองก็ฝึกร้องเพลงทั้งไทยและสากลมาอย่างดี ทุกครั้งที่พวกผมซึ่งทำวิจัยให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในเรื่องการวิจารณ์ดนตรี จะเชิญอาจารย์นรอรรถมาร่วมเป็นทั้งวิทยากรและนักร้องด้วยทุกครั้ง และพวกเราก็มีความมั่นใจว่า ถ้าจะมีใครสักคนที่จะสร้างนวัตกรรมในการบรรเลงสุนทราภรณ์ด้วยวิถีของคลาสสิกตะวันตก ก็คงจะไม่มีใครเหนือนรอรรถ จันทร์กล่ำ
การที่ผมได้มีโอกาสร่วมรับรู้“เบื้องหลังการถ่ายทำ” อันรวมถึงซีดีชุด BSO PLAYS SUNTARASPORN และการแสดงคอนเสิร์ต 2 รอบในรายการ “บี.เอส.โอ. บรรเลงสุนทราภรณ์” ในวันที่ 18 มิถุนายน 2554 นั้น ทำให้ผมเข้าใจดีว่า การทำงานในลักษณะนี้ยากยิ่งเพียงใด ต้องใช้ทั้งแรงใจ แรงกาย และความอดทนอย่างมหาศาล (โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึงว่าคนที่ไร้ฝีมือในทางดนตรีจะไม่มีวันที่จะทำงานเช่นนี้ได้สำเร็จ) จากจุดที่เริ่มคิดมาถึงการสัมมนาสุนทราภรณ์วิชาการครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน และการบรรเลงทั้งที่เป็นการอัดเสียง และการแสดงครั้งนี้ใช้เวลาถึง 5 ปี อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่มิใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับดนตรีหรือวิชาการ แต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดการ อันรวมไปถึงธุรกิจและการเงิน นักดนตรีที่ต้องมายุ่งใจและวุ่นใจกับเรื่องเหล่านี้ และยังรักษาสมาธิเอาไว้ได้ เพื่อที่จะทำงานให้ลุล่วงไปได้ ควรจะได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้มาโดดเดี่ยวแบบตัวคนเดียว แต่มาเป็นหมู่คณะ พร้อมที่จะทำงานที่ประณีต ผมชื่นชมคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ที่ “กัดติด” งานที่คิดว่าควรทำไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างน่าทึ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวกับการบรรเลงนั้น สมมุติฐานที่ผมตั้งเอาไว้บางประการอาจไม่เป็นจริงตามที่คิดเอาไว้ในใจ ประการแรก ผมคิดว่าในระบบของสุนทราภรณ์ต้นแบบนั้น นักร้องโดดเด่น แต่วงดนตรีมีขึ้นมีลง ไม่อยู่ในระดับแนวหน้าเสมอไป คือ แข็งที่นักร้อง และอ่อนที่การบรรเลง ผมจึงคาดเอาว่าเมื่อได้วงอย่างบี.เอส.โอ.มาบรรเลงแล้ว ความแข็งแกร่งจะเกิดขึ้นทั้งในรูปของการร้องและการบรรเลงดนตรี แต่ผลที่ออกมามิได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้โดยสมบูรณ์ คงจะต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า นักร้องบางคนที่ได้รับเชิญมาอัดเสียงและมาแสดงสดกับวงบี.เอส.โอ.นั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะ “สู้”กับวงซิมโฟนีขนาดใหญ่ได้ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับพลังเสียงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจว่าต้นแบบคืออะไร และศักยภาพของการเรียบเรียงใหม่คืออะไร จนรายการแสดงเมื่อวันที่ 18 ใกล้จะจบลงแล้ว ผมจึงหาคำตอบได้ว่าปัญหาอยู่ ณ ที่ใด เมื่อนักร้องประจำของสุนทราภรณ์ คือ พรศุลี วิชเวช ออกมาร้องเพลง “รักบังใบ” ได้อย่างไพเราะจับใจและกินใจ (ดังที่ทำได้อยู่เป็นประจำ แต่เหตุไฉนถึงได้รับอนุญาตให้ร้องเพียงเพลงเดียว) เธอเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้เรียนกับครูเอื้อโดยตรง และครูเอื้อเคยกล่าวชมเธอไว้กับผม วิธีการร้องของเธอเป็นแบบที่ครูเอื้อเองชอบ เอื้อนได้อย่างละเมียด ควบคุมเสียงได้อย่างแม่นยำ ลีลาเหมาะกับเพลงไทยสากลที่แปลงมาจากเพลงไทยเดิม เรียกได้ว่าการร้องของเธอเป็นมาตรฐานสูงสุดของเพลงสุนทราภรณ์ ณ ขณะนี้ แต่ผมก็อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ในเมื่อเธอร้องเพลงในแนวที่ห่างไกลจากคลาสสิกตะวันตก ปราศจากเสียงเต้น (vibrato) และก็ไม่เคยยืนอยู่หน้าวงซิมโฟนีขนาดใหญ่เช่นนี้ เหตุไฉนเธอจึงร้องเพลงได้กลมกลืนกับการเรียบเรียงใหม่ของอาจารย์นรอรรถได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ในที่สุด ผมก็ต้องงัดความรู้ทางอักษรศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยผมจำเป็นต้องยืมมโนทัศน์ทางภาษาศาสตร์มาใช้ว่า เพลงสุนทราภรณ์นั้นอยู่ในระดับโครงสร้างลึก ใครที่ได้สัมผัสกับแก่นของเพลงสุนทราภรณ์ในระดับนี้มาแล้ว ไม่มีวันจะต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีผู้สร้างขึ้นมาในระดับโครงสร้างพื้นผิว ซึ่งเราก็จำจะต้องรับว่า นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในรูปของการนำวงซิมโฟนีมาบรรเลงในครั้งนี้อยู่ในระดับของโครงสร้างพื้นผิว แต่ก็เป็นการปรุงแต่งใหม่ที่น่า “ตื่นใจ” ยิ่ง
สมมุติฐานที่สองของผมก็คือ การร้องสดย่อมจะต้องถึงใจเราดีกว่าการอัดเสียง เพราะนักร้องกับวงดนตรีน่าจะสร้างแรงดลใจให้กันและกัน เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วมานี่เองที่ผมได้ไปฟังนักร้องชาวอิตาเลียนผู้เลื่องชื่อระดับโลก คือ Cecilia Bartoli ร้องเดี่ยวกับวงดนตรีบารอคจากเมืองซูริค ในคอนเสิร์ตที่กรุงเบอร์ลิน และผมก็ได้รู้ประจักษ์ขึ้นมาว่าการแสดงที่ยอดเยี่ยมนั้น วงดนตรีเป็นตัวกระตุ้นให้นักร้องได้ร้องอย่างสุดฝีมือ และนักร้องก็กระตุ้นให้วงดนตรีแสดงได้อย่างสุดฝีมือเช่นกัน แต่บี.เอส.โอ.ในการแสดงเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง เข้าใจว่าโอกาสที่นักร้องกับนักดนตรีได้ซ้อมร่วมกันคงน้อยเกินไป และยังไม่รู้จักกันดี นวัตกรรมในบางรูปแบบ เช่นการลดจำนวนเครื่องดนตรีลงมาจนถึงระดับเชมเบอร์เพื่อเล่นคลอรวงทอง ทองลั่นธมในเพลง “แสนเสียดาย” ซึ่งเธอเป็นผู้แต่งเนื้อร้องเองนั้น ยังไม่ลงตัวนัก เป็นการประหลาดที่ว่าการบรรเลงเพลงที่อัดเสียงไว้ในซีดีนั้น แม้นักร้องกับวงดนตรีจะมิได้พบกันเลย และเป็นการรร้องตามการบรรเลงที่อัดเสียงไว้ล่วงหน้า แต่ผลที่ออกมากลับอยู่ในระดับที่น่าชื่นชม เสียงวงดนตรีเช่นในเพลง “ศกุนตลา” และ “ฟ้าคลุ้มฝน” กระหึ่มก้องกังวานเหนือการแสดงจริงมากนัก ทฤษฎีทั้งหลายที่ผมตั้งไว้พังครืนลงไปในฉับพลัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้อาจเป็นเพราะวิศวกรด้านเสียงเข้ามาช่วยปรับแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นใช่หรือไม่
ถึงอย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการแสดงจริงหรือการอัดเสียง นักร้องรับเชิญบางคนก็แสดงความโดดเด่นออกมาอย่างปราศจากข้อกังขาใดๆ และการเรียบเรียงเสียงประสานหนุนให้เกิดการตีความใหม่ที่ทรงคุณภาพได้อย่างแน่นอน จะขอยกตัวอย่างเพลง “ยามร้าง” อันเป็นเพลงที่รวงทอง ทองลั่นธมร้องอัดเสียงเอาไว้เมื่อกึ่งศตวรรษมาแล้ว และก็ตั้งมาตรฐานเอาไว้ที่สูงมากเช่นกัน แต่สุภัทรา โกราษฎร์ เข้าใจที่จะร้องเพลงนี้ในลีลาที่เป็นของตนเอง ไม่ต้องการจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายใดๆ แต่ร้องอย่างตรงไปตรงมา ยืนเฉยนิ่งอยู่หน้าไมโครโฟนที่ตั้งไว้ตายตัว อันเป็นภาพที่ชวนให้ผมย้อนกลับไปคิดถึง Goddess ของผม คือ มัณฑนา โมรากุล เรียกได้ว่าสุภัทราไม่ใช้จริตในทางคีตศิลป์เลย แต่ความนิ่งของเธอแปรสภาพเป็นความนิ้งในการร้องเพลง และนรอรรถก็แสดงฝีมือในการเรียบเรียงเพลงไว้ได้อย่างน่าชื่นชมยิ่ง เพราะใช้กลุ่มเครื่องดนตรีด้วยความหลากหลาย เช่น ให้ไวโอลินสอดเข้ามาเมื่อนักร้องเริ่มร้อง “ยามสาย” เมื่อผ่านไปถึง “ยามบ่าย” ก็ใช้เครื่องสายเสียงต่ำดีดคลอไปในลักษณะที่เรียกว่า pizzicato แต่คงไม่มีอะไรที่จะจับใจเราได้ยิ่งไปกว่าตอนจบ ซึ่งสุภัทราร้องแบบค่อยๆ ให้เสียงละลายหายไปอย่างเป็นธรรมชาติ และวงแทรกตัวเข้ามาในเบื้องต้นด้วยเสียง French horn (ซึ่งฟังดูแล้วเป็นตัวบ่งบอกภาวะที่อยู่ห่างไกล ราวกับว่าคนรักจากไปไกลแล้วและอาจจะไม่กลับมา) แต่นรอรรถไม่ยอมให้เรามองโลกในแง่ร้าย กลับจบเพลงด้วยกลุ่มแตรทรัมเป็ตที่ทำให้เรารู้สึกสว่างขึ้นมาทันที ราวกับว่าอรุณรุ่ง และโลกผ่านพ้นจากความมืดไปได้แล้ว สรุปว่าเพราะ “จับใจ” เราจะพบการเรียบเรียงเสียงประสานที่ละเมียดขนาดนี้ได้บ่อยครั้งละหรือ
อีกเพลงหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งคือ “เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น” ซึ่ง ธีรนัยน์ ณ หนองคาย เป็นผู้ขับร้อง แก้วเสียงอันใสของเธอหาคนเปรียบได้ยาก และการร้องแบบกึ่งอุปรากรของเธอก็ดูจะเหมาะกับการเรียบเรียงใหม่ของนรอรรถ ซึ่งสะท้อนเสียงคลื่นได้อย่างหลากหลาย อาจจะเริ่มต้นด้วยเกลียวคลื่นที่ไม่รุนแรง แต่ในตอนกลางเพลง เราเกือบจะได้ยินเสียง“ทะเลบ้า”สอดเข้ามาด้วย ธีรนัยน์เข้าใจที่จะปรับความงามของภาษาที่แพรวพราวด้วยสัมผัสในให้เป็นเสน่ห์ทางคีตศิลป์ แต่การร้องของธีรนัยน์ในวันที่ 18 มิถุนายนแตกต่างไปจากฉบับที่เธออัดเสียงไว้ ความเป็นนักแสดงของเธอมีผลต่อการร้องบนเวที เพราะเธอจะใช้จุดเน้นเป็นตอนๆ และออกลีลาท่าทางไปด้วย มีลักษฌะของการเปล่งคีตวลีที่อาจจะแบ่งเป็นช่วงเป็นตอนมาก อาจเรียกเป็นภาษาดนตรีว่า over-phrasing ซึ่งในฉบับที่เธออัดเสียงไว้นั้น เธอร้องเรียบและละเมียดกว่าในการแสดงจริง การร้องเพลงไทยในรูปแบบเพลงอุปรากรอาจมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะการเปล่งเสียงแบบตะวันตกมีผลต่อการออกเสียงสระและพยัญชนะบางตัวที่กลายเสียงเป็นภาษาตะวันตกไป ประเด็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่เหล่านี้ไม่ได้ทำให้การตีความใหม่ของเธอตกต่ำไปแต่ประการใด เพียงแต่ผู้ฟังกลุ่ม “สุนทราภรณ์นิยม” คงจะมีข้อกังขาอยู่บ้าง อันที่จริงบุคคลที่ผมอยากจะถามว่าคิดอย่างไรกับการตีความใหม่ของนักร้องรุ่นหลานก็คือศิลปินแห่งชาติ รวงทอง ทองลั่นธม ที่ให้เกียรติมาร่วมร้องด้วยในการแสดงดนตรีครั้งนี้ ผมเดาว่าเธอคงจะดีใจที่เพลงที่เธอร้องเอาไว้เป็นตัวจักรสำคัญที่ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมทางคีตศิลป์ในครั้งนี้
ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในการแสดงในวันที่ 18 มิถุนายนก็คือเพลง “นวลปรางนางหมอง” (นรอรรถทำตัวเยี่ยงครูเอื้อด้วยการร้องเพลงเองหลายเพลง) แต่เพลงนี้เป็นหมุดหมายสำคัญยิ่งของการตีความใหม่ ใช้การเรียบเรียงเสียงประสานที่ชัดเจนมากว่า ต้องการเน้นความมีชีวิตชีวาของจังหวะแทงโก้ นรอรรถจึงร้องราวกับว่าเพลงนี้มิใช่เพลงเศร้า แต่เป็นเพลงทำนองเดียวกับ “พรานล่อเนื้อ” (ซึ่งความจริงนรอรรถควรจะตัดสินใจร้องเสียเอง) หรือ เพลง “อย่าใจน้อย” เมื่อร้องจบลง ต้องเรียกว่าโรงคอนเสิร์ตแทบถล่มทลาย เพราะพระเดชพระคุณทั้งหลายลุกขึ้นปรบมือกันอย่างกึกก้อง รวมทั้งแฟนเก่าของสุนทราภรณ์ทั้งหลายที่ลืมโครงสร้างลึกไปแล้ว อีกครั้งหนึ่งที่ผมต้องยอมจำนนต่อโลกแห่งความเป็นจริงว่า กลุ่มสุนทราภรณ์นิยมเองก็มิได้ฟังเพลงสุนทราภรณ์อย่างละเอียดเท่าใดนัก ข้อวินิจฉัยของผมก็คือ ทั้งการเรียบเรียงเสียงประสาน และการร้อง จัดได้ว่าเป็น “การตีความผิดที่โอ่อ่า” (grandiose misinterpretation) ซึ่งในบางครั้งอาจจะกลายรูปไปเป็นการตีความผิดที่ให้ความหฤหรรษ์ (hilarious misinterpretation) เสียด้วยซ้ำ เพลงแทงโก้ของสุนทราภรณ์ โดยเฉพาะเพลงที่ครูเอื้อแต่งให้วินัย จุลละบุษปะร้องนั้น เป็นการจงใจเดินสวนกับต้นแบบของตะวันตก คือนำเพลงลีลาร่าเริงและเร่าร้อนมาสื่อความคิดเชิงลึกที่เกี่ยวกับอารมณ์รัก รวมทั้งความผิดหวังของผู้ที่สูญเสียคนรักไปแล้ว ซึ่งมีตัวชี้วัดคือแก้มเธอที่หมองไปเสียแล้วด้วยมือชายอื่น เนื้อเพลงคือตัวกำกับว่านักร้องจะต้องร้องแบบใด และประเด็นนี้เป็นประเด็นที่มัณฑนา โมรากุล และรวงทอง ทองลั่นธม เน้นอยู่ตลอดเวลาว่าครูเอื้อและครูแก้ววางรากฐานไว้เช่นนี้ วลีสุดท้ายที่ว่า “โอ้ใจจะขาดแล้วเอย” จำจะต้องร้องให้เห็นว่าชายผู้นี้เจ็บปวดรวดร้าวจนใกล้จะสิ้นลมปราณแล้ว แต่การตีความของนรอรรถนั้นดูราวกับจะเป็นการบอกว่า นักร้องได้รับมอบหมายให้มาแสดงละครฉากหนึ่งที่เน้นว่า งานศิลปะคืองานศิลปะ อย่าไปคิดว่าเป็นชีวิตจริง นักการละครอาจจะบอกท่านว่า นรอรรถกำลังใช้ทฤษฎีของแบร์ทอลท์ เบรคชท์ (Bertolt Brecht) ในขณะที่ผู้แต่งเนื้อร้องและผู้แต่งทำนองยังยึดอยู่กับทฤษฎีของสตานิสลาฟสกี้ (Stanislavsky) เรื่องนี้เราคงจะต้องทะเลาะกันต่อไปเพื่อความงอกงามของเพลงสุนทราภรณ์
จาก “รักบังใบ” มาสู่ “นวลปรางนางหมอง” การขับร้องเพลงสุนทราภรณ์ในครั้งนี้ก้าวไปไกลมาก การตีความใหม่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจยิ่ง แต่ผมก็จำจะต้องให้ข้อคิดฝากไว้กับศิลปินรุ่นใหม่ว่า ต้องเจาะลงไปให้ถึงโครงสร้างลึกของงานอันยิ่งใหญ่นี้ให้ได้ งานครั้งนี้ไปถึงระดับตื่นใจและจับใจได้อย่างแน่นอน แต่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของพวกเขาควรจะเป็นความทะเยอทะยานที่จะครองใจพวกเราให้ได้ และครองใจไปให้นานแสนนาน ผมกำลังรอคอย บี.เอส.โอ. บรรเลงสุนทราภรณ์ ชุดที่ 2 และชุดที่ 3 อยู่
———————–