สาว-สาว-สาว : มาด้วยกัน แต่ยังไม่ไปด้วยกัน นิทรรศการผลงานศิลปะจากโครงการ “บทบาทของวัฒนธรรมไทยในศิลปะร่วมสมัย”
สาว-สาว-สาว : มาด้วยกัน แต่ยังไม่ไปด้วยกัน
นิทรรศการผลงานศิลปะจากโครงการ “บทบาทของวัฒนธรรมไทยในศิลปะร่วมสมัย”
เจตนา นาควัชระ
เตยงาม คุปตะบุตร วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร และอรอนงค์ กลิ่นศิริ ซึ่งผมของเรียกว่ากลุ่ม “สาว-สาว-สาว” (เช่นเดียวกับกลุ่มนักร้องเมื่อ 20 กว่าปีก่อน) เป็นศิษย์เก่าศิลปากรที่เคยทำงานวิจัยร่วมกันมาในส่วนที่เกี่ยวกับการวิจารณ์ศิลปะ และการร่วมมือครั้งล่าสุดเป็นกิจกรรมที่พวกเธอจงใจเรียกว่าเป็นโครงการวิจัย โดยพยายามจะศึกษาบทบาทของวัฒนธรรมไทยในการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัย แต่ที่แตกต่างออกไปจากงานวิจัยโดยทั่วไปก็คือ พวกเธอต้องการจะสื่อผลงานวิจัยที่มิใช่รูปของเอกสารดังที่เราเห็นๆกันอยู่ แต่ในรูปของงานสร้างสรรค์ทางศิลปะ จุดนี้เป็นโจทย์ที่นับได้ว่าเป็นนวัตกรรม การแสดงงานศิลปะในครั้งแรกระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-17 ก.พ. 2554 ณ หอศิลป์คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ยังอยู่ในขั้นของการทดลอง ผมเองต้องยอมรับว่า การจะปรับการสร้างสรรค์ทางศิลปะให้เป็นกระบวนการของการวิจัยนั้น อาจจะทำได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งไปกว่านั้น ศิลปินที่สมัครใจเข้ามาเป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกกำกับให้เสนอผลงานวิจัย ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่ทำกันมาแล้วก็คือ การสร้างสรรค์งานศิลปะโดยใช้งานศิลปะนั้นในการถ่ายทอดแนวความคิดและหลักวิชาไปสู่ผู้รับ พร้อมกับให้คำอธิบายด้วยความเรียงเชิงวิชาการที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งในที่นี้ก็ยังไม่แน่ว่าเป็นผู้รับในวงการศิลปะ หรือเป็นผู้รับที่เป็นมหาชนทั่วไป เพราะโดยวิสัยของศิลปินแล้ว ย่อมปรารถนาที่จะสื่อความออกไปในวงกว้างต่อมหาชน มากกว่าที่จะจำกัดวงอยู่กับผู้ร่วมอาชีพของตน
เช่นเดียวกับศิลปินร่วมสมัยจำนวนมาก สาว-สาว-สาวเลือกที่จะอธิบายงานของตนเองด้วยความเรียง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับในขั้นหนึ่งว่า ตัวงานศิลปะเองอาจสื่อความกับผู้รับได้ไม่ชัดเจนพอถ้าไม่มีภาษาเป็นเครื่องช่วย ณ จุดนี้ ศิษย์เก่าเยอรมันทั้งหลายก็คงเปล่งวาจาออกมาพร้อมกันและพ้องกันว่า นี่คือบาปขั้นปฐมที่มาจากโยเซฟ บอยซ์ (Joseph Beuys: 1921-1986) เพราะศิลปินเยอรมันท่านนี้ แม้จะสร้างนวัตกรรมในด้านงานศิลปะโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะจัดวางไว้เป็นจำนวนมากมาย แต่ก็มีความทะเยอทะยานที่จะตั้งตัวเป็นปราชญ์ (หรืออาจจะถึงขั้นที่ต้องการจะเป็นศาสดา) ของสังคมร่วมสมัย ทัศนศิลป์ของเขาส่วนหนึ่งจึงเป็นการแสดงออกด้วยภาษาอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งก็เป็นภาษาประกอบงานที่เป็นทัศนศิลป์ บางครั้งก็เป็นงานเขียนว่าด้วยมโนทัศน์เชิงปรัชญา สังคมและการเมืองที่เสนอตัวเป็นทัศนศิลป์ไปด้วยเลย ด้วยลายมือที่จงใจสื่อให้เห็นถึงข้อบกพร่องของประถมศึกษาในเยอรมนี สาว-สาว-สาวอาจจะแยกทางกันเดินในส่วนที่เกี่ยวกับการรับอิทธิพลตะวันตก เตยงาม ดูจะหมกมุ่นอยู่กับการสร้างและเสนอมโนทัศน์ที่มีความเป็นนามธรรมสูง ส่วนวันทนีย์ก็ตั้งมโนทัศน์ไว้เช่นกัน แต่พยายามใช้วิเดโออาร์ตสื่อความด้วยรูปแบบของเกม อรอนงค์ดูจะเป็นคนเดียวในกลุ่มสาว-สาว-สาวที่ตั้งมโนทัศน์เอาไว้และแสดงความคิดออกมาเป็นงานที่จัดได้ว่าเป็นทัศนศิลป์ ซึ่งอธิบายตัวเองได้ โดยมิต้องพึ่งคำอธิบายที่เป็นภาษามากนัก นั่นก็คือ นำเอาปัญหาของสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้มาแสดงออกด้วยศิลปะจัดวาง เริ่มต้นด้วยการให้ภาพรางๆ ที่ใครๆก็ดูออกว่าเป็นการประกวดนกเขาขัน อันเป็นที่นิยมกันในจังหวัดภาคใต้ ขั้นที่สองก็เป็นฝูงนกขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ขั้นต่อไปเป็นฝูงนกที่ตกลงมาอยู่ในอุ้งมือคน ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ขั้นสุดท้ายคือ นกที่พบจุดจบบนผืนแผ่นดิน ไม่เป็นการยากนักที่จะตีความว่าสถานการณ์เกินกว่าที่เราท่านจะโอบอุ้มนกเหล่านั้นไว้ได้ด้วยมือเปล่า ศิลปินมิได้เพียงตอบโจทย์ที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น แต่ได้ดึงเราเข้าไปมีส่วนร่วมในการตอบโจทย์นั้นด้วยวิธีการที่มีนัยเชิงสังคมและเชิงปรัชญาที่สูงมาก
งานของวันทนีย์เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้ชมเข้าไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยมีคำถามให้เลือกตอบ และคำถามเหล่านั้นก็ดูจะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับศิลปะเสียเป็นส่วนใหญ่ มิได้เชื่อมโยงออกไปสู่สังคมร่วมสมัยมากนัก ดูประหนึ่งว่าศิลปินยังหมกมุ่นอยู่กับกระบวนการสร้างสรรค์ทางศิลปะ และต้องการให้ผู้ดูผู้ชมมีส่วนร่วมในการตีโจทย์ให้แตก คำถามของผู้ดูผู้ชมก็คือ แล้วเมื่อไรเล่าจึงจะตีโจทย์แตก และพิสูจน์ให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยมีบทบาทอย่างไรต่องานศิลปะร่วมสมัย
งานของเตยงามเป็นงานที่ต้องการคำอธิบายมากที่สุด ตัวงานศิลปะที่เป็นรูปธรรมแขวนอยู่บนเพดาน และมีส่วนที่ให้เสียงกระพรวนอันแผ่วเบาราวกับเป็นบรรยากาศของวัดเซน นัยว่าเป็นการแสดงออกซึ่งมโนทัศน์ที่ว่าด้วยการปลีกวิเวกในภาพ เสียง และพื้นที่ ถ้าจะถามว่านี่คือคำตอบต่อโจทย์ที่ว่าด้วยบทบาทของวัฒนธรรมไทยในงานศิลปะร่วมสมัย ผู้ชมก็คงจะต้องยอมรับสารภาพว่ายังมองไม่เห็นความเชื่อมโยงที่ว่านั้น
สรุปได้ว่า สาว-สาว-สาวมีโจทย์ใหญ่ร่วมกัน และพยายามตอบโจทย์กลางนั้นด้วยวิธีการที่ต่างกัน ข้อสังเกตแบบกำปั้นทุบดินของผู้ชมคนหนึ่งที่มีได้เรียนศิลปะมาก็คงจะเป็นว่า ไม่ว่าศิลปินจะตั้งแนวคิดไว้ลุ่มลึกสักเพียงใด แต่ถ้าสื่อความกับมหาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ งานศิลปะนั้นก็เป็นแค่เอกวัจน์ในความคิด (มาจากศัพท์ทางวรรณคดีที่มีต้นแบบเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “monologue intérieur”) ที่พูดกับตนเอง คงจะต้องให้คำแนะนำแบบกำปั้นทุบดินอีกเช่นกันว่า ศิลปินไม่ควรหมกมุ่นกับการปรับการสร้างสรรค์ศิลปะให้เป็นงานวิจัย และทัศนศิลปินก็ไม่ควรจะหาทางออกในการสื่อความด้วยการอธิบายงานของตนเองโดยพิสดารจนเกินไป ถ้าจะตอบว่าศิลปะไม่มีพรมแดน และศิลปินคนหนึ่งอาจจะทำงานข้ามสาขาได้ตลอดเวลา โดยที่วรรณศิลป์ก็อาจจะเข้ามาผสมโรงด้วยก็ได้ ถ้าตอบเช่นนั้น ผู้ชมก็อาจให้ข้อเสนอที่ท้าทายยิ่งไปกว่านั้นว่า เหตุไฉนจึงไม่เขียนงานเป็นร้อยแก้วเชิงวรรณศิลป์ (prose poem) ไปเสียเลยเล่า ลองกลับไปหางานร้อยแก้วของอังคาร กัลยาณพงศ์ ดูบ้าง แล้วจะได้แรงดลใจที่ไปในทางลึกมาก แต่ก็คงจะต้องไม่ลืมว่าเมื่ออังคารวาดรูป ท่านไม่เคยต้องอธิบายรูปของท่านด้วยวรรณศิลป์เลย ท่านตกยุคไปแล้วกระนั้นหรือ
——————————–